วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

======ทำเนียบรุ่น ป.บัณฑิตรุ่น 8 หมู่ 15 ศูนย์ธีรภาดาครับ=====


ปิติภัทร์ โพธิจักร (แมน) รหัส 537110140317  การศึกษา จบปริญญาตรี คอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปี เดือน พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2544 เกรดเฉลี่ย 3.40  ที่อยู่ 129 หมู่ 7 ต. ดงลาน อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด เบอร์โทรบ้าน 043-524658 มือถือ 083-3370066  e-mail = man.pitipat@gmail.com , pitipat@thaimail.com , man_pitipat@ windowslive.com 

สำหรับสมาชิก ป.บัณฑิต รุ่น 8 หมู่ 15 ให้ส่งรายละเอียดและรูปภาพมาที่ man.pitipat@gmail.com / man_pitipat@windowslive.com / pitipat@thaimail.com นะครับ รูปไม่สวยไม่หล่อเดี๋ยวแต่งให้ (แต่รูปผมของจริงนะ อิิอิ)

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเรื่องวิชาจิตวิทยาสำหรับครูครับ


จิตวิทยาการเรียนการสอนและความเป็นครู  ความหมายคือ “จิตวิทยา”เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตโดยศึกษาว่าสิ่งเหล่านี้ได้อิทธิพลอย่างไรจากสภาวะทางร่างกายสภาพจิตใจและสิ่งแวดล้อมภายนอก แนวทางในการศึกษาศึกษาและสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบในห้องทดลองการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพประเมินทางการศึกษา จิตวิทยากับการเรียนการสอน    จิตวิทยาการเรียนการสอนเป็นศาสตร์อันมุ่งศึกษาการเรียนรู้และพฤติกรรมของผู้เรียนในสถานการณ์การเรียนการสอนพร้อมทั้งหาวิธีที่ดีที่สุดในการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างสอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียนความรู้ที่อยู่ในขอบข่ายการเรียนการสอน
      1.  ความรู้เรื่องพัฒนาการมนุษย์
      2.  หลักการของการเรียนรู้และการสอนประกอบด้วย
           ทฤษฎีการเรียนรู้และการเรียนรู้ชนิดต่างๆ
      3.  ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีผลต่อการเรียน
      4.  การนำเอาหลักการและวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในการ  
           แก้ปัญหาการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมายของการนำจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน
ประการแรก
มุุ่งพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ในสถานการณ์การเรียนการสอน
ประการที่สอง
นำเอาองค์ความรู้ข้างต้นมาสร้างรูปแบบเชิงปฏิบัติเพื่อครูและ
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน
 หลักการสำคัญ
1.  มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน
2. มีความสามารถในการประยุกต์หลักการจิตวิทยาเพื่อการเรียนการ
สอน
3.  มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่
4.  มีเจตคติที่ดีต่อผู้เรียน
 จิตวิทยาครู
ครู  หมายถึง  ผู้สอน  มาจากภาษาบาลีว่า “ครุ”
ภาษาสันสกฤตว่า “คุรุ” แปลว่า หนัก  สูงใหญ่
  -  ครูต้องรับภารหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบ
  -  ครูต้องมีความหนักแน่น  สุขุม  ไม่วู่วาม
ทั้งความคิดและการกระทำ
 บทบาทและความสำคัญของครูในปัจจุบัน
ธีรศักดิ์ (2542) ได้กล่าวถึง 4 ประเด็น ดังนี้
- บทบาทและความสำคัญต่อเยาวชน
- บทบาทและความสำคัญของครูในการพัฒนาทรัพยากรม
นุษย์
- บทบาทและความสำคัญของครูในการรักษาชาติ
- บทบาทและความสำคัญของครูในเยียวยาสังคม
รูปแบบของครู (Models of Teachers)
Fenstermacher และ Soltis (1992)
ได้กล่าวถึงรูปแบบและบทบาทของครู เป็น 3 ประเภท
1. The Executive Model
ทำหน้าที่คล้ายบริหาร
2. The Therapist Model    
มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างใกล้ชิด
3. The  Liberationist  Model
ครูที่ให้อิสระผู้เรียนในการเรียนรู้
      Parsons and others (2001)กล่าวว่าครูควรมีหลายบทบาทตามความเหมาะสมของสภาพการณ์
 มิใช่มีความรู้หรือเชี่ยวชาญเฉพาะเนื้อหา ดังนั้นครูอาจมีบทบาทดังนี้
- รับผิดชอบการวางแผนการสอนและวัดผล
- มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการสอนหรือให้ข้อมูลแก่ผู้เรียนอย่าง
มีประสิทธิภาพ
- ทำหน้าที่ผู้จัดการ
หรือบริหารห้องเรียนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้
- ให้คำปรึกษา  รับฟังความคิดเห็นแก่ผู้เรียน
บทบาทดังกล่าวนี้มีความสอดคล้องกับแนวคิดของWoolfok และ
Nicalich (1980) ที่กล่าวไว้หลายประเด็นและมีคลอบคลุม  ดังนี้
- เป็นผู้ชำนาญการสอน
- เป็นผู้จัดการ   เป็นผู้นำ
- เป็นผู้ให้คำปรึกษา
- เป็นวิศวกรสังคม
- เป็นตัวแบบ
 หลักการที่สำคัญสำหรับครู  Mamchak and Mamchak  (1981)ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างครูและนักเรียนการสร้างบรรยากาศในห้องเรียน
- ไม่รื้อฟื้นปัญหาที่เคยเกิดขึ้น
- ให้ความยุติธรรมแก่เด็ก อย่างเท่าเทียมกัน
- ตั้งเป้าหมายที่นักเรียนสามารถทำได้
- ครูควรบอกถึงข้อจำกัดของตน
- ครูควรทราบข้อจำกัดของเด็กแต่ละคน
- ครูควรใส่ใจเด็กทุกคน
ความสำคัญของจิตวิทยาการเรียนการสอน
-  ทำให้รู้จักลักษณะนิสัยของผู้เรียน
-  ทำให้เข้าใจพัฒนาการบุคลิกภาพบางอย่างของผู้เรียน
-  ทำให้ครูเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล
-  ทำให้ครูทราบว่ามีองค์ประกอบใดบ้างที่มีผลกระทบต่อสัมฤทธิ์ทางการเรียนเช่น แรงจูงใจ ความคาดหวัง เชาวน์ปัญญา ทัศนคติฯลฯ
ความสำคัญของจิตวิทยาการเรียนการสอน
-  ทำให้ครูทราบทฤษฎี หลักการเรียนรู้
รวมทั้งหลักการสอนและวิธีการสอน
-  ทำให้ครูวางแผนการสอนได้อย่างเหมาะสม
- ทำให้ครูจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนได้สอดคล้องกับพัฒนาการ
รวมทั้งสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนที่เอื้อต่อการปกครองชั้นเรียน
(สุวรี, 2535)


อยากให้ร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องวิชาจิตวิทยาสำหรับครูด้วยกันนะครับเวลาสอบจะได้มีข้อมูลเยอะๆ ไง เพราะพวกเรามันเรียนไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใครมีเรื่องอะไรอยากระบายหรือพูดคุยกันก็ฝากได้ที่นี่นะครับ รับฟังทุกเรื่องครับ

ตามหัวข้อนั่นล่ะครับมีอะไรอยากพูดอยากระบายก็ตามสบายเลยครับ รับฟังทั้งหมด(ห้ามโพสคำไม่สุภาพหรือหยาบคายเจอแล้วลบทิ้งทันที) รักใครชอบใครหรืออึดอัดอะไรก็โพสที่นี่ได้

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปรับแต่งคอมพิวเตอร์ให้ใช้งานดีขึ้น (windows xp) รับรองครับเด็ดจริงๆ ลองมาหลายปีแล้วไม่มีปัญหา ถ้าคิดอะไรออกจะพยายามโพสเพิ่มเรื่อยๆ ครับ

(ทุกทิปส์ มีผลหลังจากรีสตาร์ตเครื่องต้อง restart เครื่องคอมพ์ รวมทั้ง internet ใหม่นะ ทิปส์พวกนี้ผมลองกับเครื่องตัวเองที่เป็น XP Sp3 แล้วครับ สำหรับคนที่ใช้ windows vista หรือ windows 7 อาจจะใช้ได้บางทิปส์เพราะระบบแกนหลัก (kernel) มันไม่เหมือนกัน พอดีเครื่องทึี่เป็น windows 7 ให้คุณแม่เขาใช้ไม่กล้าไปแตะเท่าไร งานของโรงเรียนแม่เขาเยอะเดี๋ยวโดนด่า)

จะพยายามหาทิปส์มาอัพเดตให้ทุกวันนะครับ เอาเฉพาะตัวที่ปลอดภัย ตัวไหนที่มันเสี่ยงกับระบบมากเกินไปก็จะไม่เอามาลง


เทคนิคนี้เป็นการใช้ความสามารถพิเศษที่ Windows XP ยอมให้คุณใส่รูปภาพ และข้อความใน ไดอะล๊อกบ๊อกซ์ System Properties (เวลาที่คุณคลิกขวาที่ my computer แล้วเลือก properties ไงล่ะ )โดยที่คุณไม่ต้องแก้รีจิสทรีแต่อย่างไร ซึ่งมีขั้นตอนต่อไปนี้
     - สร้างไฟล์ภาพบิตแม็ปที่มีขนาด 175x115 พิกเซล (.bmp) ใช้ Photoshop หรือโปรแกรมอื่นที่คุณถนัด เช่น Photoscape, ACDsee , Picasa โปรแกรมพวกนี้จะมีเครื่องมือพื้นฐานในการตัดกรอบ ลดขนาดรูปภาพแล้วแปลงฟอร์แมตของภาพมาให้อยู่แล้วครับ 
     - ตั้งชื่อไฟล์ว่า Oemlogo.bmp
     - กีอปปี้ไฟล์เข้าไปในโฟลเดอร์  C:\windows\system32
จากนั้นเปิดโปรแกรม notepad พิมพ์ข้อความตามข้างล่างนี้
[General]
Manufacturer=
Model=
[Support Information]
Line1=
Line2=
Line3= 
* หลังเครื่องหมาย = พิมพ์ข้อความที่คุณต้องการ
Manufacturer คือชื่อบริษัทของคุณ
Model คือชื่อรุ่นของคอมพิวเตอร์ของคุณ
ตรง Support Information คือตรงปุ่มใต้รูปภาพเจ้าของเครื่อง ซึ่งจะบอกรายละเอียดของเจ้าของเครื่อง
Line1 ถึง Line3 ให้ใส่รายละอียดของเจ้าของเครื่องแต่ละบรรทัดลงไป คุณจะใส่จนถึง Line10 ก็ได้
- แล้ว Save เป็นชื่อ oeminfo.ini แล้วกีอปปี้ไปวางไว้ที่ C:\windows\system32
คราวนี้ลองเปิด ไดอะล๊อกบ๊อกซ์ System Properties คุณจะเห็นโลโก้ และข้อความของคุณ ประกาศความเป็นเจ้าของเครื่องแล้วล่ะ มีภาพตัวอย่างจากเครื่องของผมให้ดูด้วยครับ
#### ตัวอย่างจากเครื่องของผมนะครับ ###
[General]
Manufacturer=ปิติภัทร์ โพธิจักร (แมน)
Model=Acer AspireOne D150 
[Support Information]
Line1=ปิติภัทร์ โพธิจักร (แมน)
Line2=....
Line3=BBA ( Business Computer) Mahasarakham University
Line4=Tel. 08-33370066    Home. 043-524658
Line5=.................................
Line6=pitipat@thaimail.com
Line7=man.pitipat@gmail.com
Line8=man_pitipat@windowslive.com
Line9=pitipat@sanook.com
Line10=ICQ man_pitipat   number 581061242
Line11=...............................

ต่อจากเรื่องที่แล้วครับ เพื่อความเป็นเจ้าของเครื่องอย่างสมบูรณ์
บางทีคุณซื้อคอมพ์พิวเตอร์ต่อจากคนอื่น หรือให้ร้านลง windows ให้ เวลาดูที่ system properties 
คลิกขวา My Computer >> Properties ตรง Windows Activation นั่นล่ะครับ
จะพบว่าชื่อของเจ้าของเครื่องคือคนที่ลง windows หรือเจ้าของเก่า
เรามีวิธีเปลี่ยนให้ชื่อของเราเป็นชื่อเจ้าของเครื่องแทนครับ
เข้าไปที่ run >> regedit แล้วเข้าไปตามรายการดังนี้
HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows NT\CurrentVersion
เมื่อ คลิกเข้าไปถึงโฟลเดอร์ CurrentVersion แล้ว ให้สังเกตรายการที่อยู่ในกรอบทางขวามือ คลิกเลือกรายการที่ชื่อว่า RegisteredOwner คลิกเมนู Edit ตามด้วย Modify ในไดอะล็อกบ๊อกซ์ Edit String ลบชื่อเจ้าของโน้ตบุ๊กคนเก่า (ชื่อเพื่อนคุณ) ออกไป แล้วพิมพ์ชื่อใหม่ที่คุณต้องการเข้าไปแทน จากนั้นคลิกปุ่ม OK 
ตามด้วยเปลี่ยนชื่อตรง RegisteredOrganization (ชื่อหน่วยงานหรือบริษัทของคุณ)ก็เปลี่ยนตามใจคุณ
ภาษาอังกฤษนะครับ ภาษาไทยไม่ได้
ปิดหน้าต่างโปรแกรม แล้วรีบู๊ตเครื่อง เพียงแค่นี้ ชื่อเจ้าของ computer ก็จะเปลี่ยนเป็นชื่อที่คุณตั้งใหม่แล้ว 


ปัจจุบันนี้โปรแกรมต่างๆ มีการใช้หน่วยความจำหรือแรมค่อนข้างมาก ยิ่งบางคนชอบเปิดโปรแกรมหลายๆ โปรแกรมพร้อมกัน แรมที่มากับเครื่องเลยไม่พอใช้ทำให้เครื่องอืด วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือการสร้าง หน่วยความจำเสมือนหรือ virtual memory โดยการให้วินโดวส์ ใช้เนื้อที่ว่างในฮาร์ดดิสก์จำลองเป็นแรมเพิ่มขึ้น (แนะนำให้เลือกไดรฟ์อื่นที่ไม่ใช่ไดรฟ์ C นะครับ)
คลิกขวา My Computer เลือก Properties ที่หน้าต่าง System Properties เลือกที่แท็บ Advanced
ที่ Performance คลิกที่ Settings เลือกแท็ป Advance ที่ Virtual Memory คลิกที่ Advance ที่ Drive C เลือกเป็น No Pagging File คลิกที่ Set เลือกที่ Drive D หรือ ไดรฟ์อื่น ตรง Custom set ใส่ค่าลงไปทั้งสองช่องเป็นจำนวนสองเท่าของแรมในเครื่องของเรา เช่นถ้าคุณมีแรม 1 กิ๊กก็ใส่เป็น 2048 กับ 2048 ถ้ามี 2 กิ๊ก ก็ใส่เป็น 4096 กับ 4096 คลิก set แล้วก็ OK แล้วรีสตาร์ทเครื่องใหม่

ปกติเวลาเราบู๊ตเครื่องเข้าสู่ระบบ Windows จะมีการรอเข้าระบบอยู่ประมาณ 30 วินาทีเพื่อให้เราเลือก
ระบบปฎิบัติการ (บางคนลง windows หลายตัวในเครื่องเดียว) ถ้าเรามีแค่ระบบเดียวก็ปิดการทำงานนี้ซะ
เพื่อให้เข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น
คลิ๊กขวาที่ My Computer >> เลือกที่ Advanced >> ที่ Startup and Recovery เลือกที่ปุ่ม Settings
ติ๊กเครื่องหมายถูกออกให้หมด >> OK >> Apply >> OK


มาดูวิธีการเปลี่ยน File System จาก FAT32 เป็น NTFS โดยไม่ต้อง Format กันดีกว่า
ปัจจุบันนี้การ Format แบบ NTFS (New Technology File System) จะได้รับความนิยมมากกว่า
FAT32 เนื่องจาก การเข้าถึงข้อมูลที่เร็วกว่า และการจัดระบบไฟล์ของ NTFS ดีกว่า FAT32 หลายเท่า (FAT32 มองไม่เห็นไฟล์ขนาดใหญ่กว่า 4 GB แต่ NTFS สามารถมองเห็นได้ และระบบรักษาความปลอดภัยดีกว่า เพราะมีการเข้ารหัสไฟล์ที่ซับซ้อนกว่า รวมทั้งประหยัดพื้นที่ด้วยเพราะขนาดบล็อกที่จัดเก็บข้อมูลจะเล็กกว่า)
ขั้นตอนการทำง่ายมากๆครับ

ไปที่ start >run
พิมพ์ Convert X: /FS:NTFS
X คือ ไดร์ฟที่จะเปลี่ยน
ระหว่าง ไดร์ฟ: กับ / ต้องมีเว้นวรรค
แล้วกด ok แล้วจะมีการยืนยันกด yes ไปเรื่อยๆแล้วกด enter เพื่อ restart แล้วก็รอจะเข้า windows ใหม่ ก็เรียบร้อย 



การยกเลิก Indexing Service และ Compress disk space
Indexing Service คือการทำดรรชนีไฟล์ต่างๆ ในเครื่องของเราเพื่อให้สามารถ search หาได้ง่าย
แต่บางทีมันก็ทำให้เปลืองเนื้อที่ และใช้หน่วยความจำเยอะ
สำหรับคนที่มีการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลต่างๆ เป็นระบบดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้
Compress Disk คือการบีบอัดข้อมูลให้มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันเนื้อที่ของเรามีหลายร้อยกิ๊กกันแล้ว
และการบีบอัดแบบนี้ก็จะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานหนักขึ้นเพราะต้องเข้าและถอดรหัสไฟล์ต่างๆ เวลาที่เราเข้าไปดู มาเอาออกกันดีกว่าครับ
เข้าไปที่ My Computer คลิกขวาที่ไดร์ฟที่ต้องการ 
ติ๊กถูกออกตรง Compress drive to save disk space และ
Allow Indexing service to index this disk for fast file searching คลิก Apply แล้วก็ OK
(จะมองเห็นสองอันนี้ก็ต่อเมื่อเราใช้ระบบเก็บข้อมูลเป็น NTFS นะครับ ถ้าเป็น Fat32 จะไม่เห็น)


เพิ่มความเร็วในการเล่น internet
การใช้ internet บางครั้งก็เร็ว บางครั้งก็ช้า ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบหลายอย่าง วิธีนี้ก็ทำให้ internet เร็วขึ้นอาจจะไม่เห็นผลมากนักเพราะเดี๋ยวนี้เราใช้อินเตอร์เน็ตตามบ้านคนละหลาย Mb กันแล้ว)
ไปที่ start---> run---> พิมพ์ gpedit.msc กด ok
จะแสดงหน้าต่าง Group Policy
ที่ computer config.. เลือก Administrative Templates
หัวข้อ network เลือกที่ QoS Packet Scheduler
มองหน้าต่างขวามือ ดับเบิ้ลคลิกที่ Limit reservable bandwith
จะขึ้นหน้าต่างใหม่ Limit reservable bandwith Propoties เลือกแถบ setting คลิกเลือกที่ช่อง Enable
ในกรอบ Bandwith limit(%) ปรับเป็น 0 แล้วกด ok

MTU <Maximum Transmission Unit>
เป็นหน่วยหนึ่งที่ใช้กำหนดค่าให้กับการ รับส่งข้อมูลผ่านระบบเครื่อข่าย ที่สูงสุดใน
การส่งแต่ละครั้ง
ถ้าเราตั้งค่าให้ค้นหาค่า MTU แบบอัตโนมัติ ก็จะทำให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างมี
ประสิทธิมากขึ้น

ไปที่ Start---> run--->พิมพ์ regedit แล้วกด Ok
HKEY_LOCAL_MACHINE---> SYSTEM---> CurrentControlSet---> Services--->
Tcpip---> Parameters
คลิกขวาที่ Parameters เลือก new > DWORD Value
ตั้งชื่อว่า EnablePMTUDiscovery
แล้วดับเบิ้ลคลิก พิมพ์ค่าเป็น 1แล้วกด ok

เพิ่มประสิทธิภาพโดยการปรับแต่งหน่วยความจำ 
ใน windows ทุกๆ ver. เมื่อหน่วยความจำของระบบไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เช่นในกรณีที่ท่านเปิดโปรแกรมเป็นจำนวนมาก windows จะนำข้อมูลบางส่วนเก็บไว้ใน HDD โดยอัตโนมัติ เป็นการใช้ HDD เป็นเหมือนหน่วยความจำเสมือน 
เราก็รู้ดีว่า แรมนั้นเร็วกว่า
HDD ดังนั้น ถ้าท่านมีหน่วยความจำติดตั้งอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 256 ท่านสามารถเพิ่มประสิทธิการทำงานของระบบด้วยการปิดการย้ายข้อมูลไปยัง HDD ของ windows โดยการ 
ไปที่
regedit เหมือน rep บนๆนั้นละ 
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControl\Control\S ession Manager\Memory Management 
ด้านขวาดับเบิ้ลคลิก DisablePagingExcutive 
ให้แก้ค่า value data จาก 0 ให้เห็น 1 แล้วคลิก ok 
แก้เสร็จ แล้ว restart 



HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer\
Advanced
NoNetCrawling ปรับเป็น 1 เพื่อยกเลือกการทำงานของ NetCrawling
NetCrawling เป็นตัวที่จะค้นหา file, folder หรือเครื่องพิมพ์ในเครื่อข่ายโดยอัตโนมัติถ้าเกิว่าเราไม่ได้ใช้งาน
ระบบเครือข่ายมากนักเราก็ปิดการทำงนในส่วนนี้ไปซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วได้พอสมควร

ทำให้เลื่อนเมนูและเข้าถึง window  ต่างๆ เร็วขึ้น
ไปที่ Start---> run--->พิมพ์ regedit แล้วกด Ok
HKEY_CURRENT_USER\control Panel\Desktop ดับเบิ้ลคลิกตรง MenuShowDelay นะครับ ตั้งค่าให้เป็น 0 เพราะมาตรฐาน windows จะตั้งมา ในการหน่วงเปิดโปรแกรม หรือเลื่อนเมนูต่าง เท่ากับ 400 มิลลิวินาที ถ้าเราตั้งให้เป็นศูนย์เวลาเลื่อนเม๊าส์หรือเลื่อนเมนูต่างๆ รวมถึงเข้าหน้าจอต่างๆ ก็จะลดเวลาลงได้ด้วย


เพิ่มการรับส่งข้อมูล MTU
การเพิ่มค่า MTU ให้มากที่สุด ก็เป็นส่วนหนึ่งให้ระบบการรับส่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไปที่ Start---> Run---> พิมพ์ regedit แล้วกด Ok
HKEY_LOCAL_MACHINE---> SYSTEM---> CurrentControlSet---> Services--->
Tcpip---> Parameters---> interfaces
คลิกที่หน้า interfaces จะมีหลายโฟลเดอร์ ให้คลิกขวาที่โฟลเดอร์แรก---> new--> DWORD Value--->แล้วตั้งชื่อว่า MTU
แล้วดับเบิ้ลคลิกใส่ ค่า
ถ้าเป็น dial-up Connection ใส่ค่า = 576
ถ้าเป็น PPP Broadband Connecting ใส่ค่า = 1492
ถ้าเป็น Ethernet , DSL , Cable Broadband Connection ใส่ค่า = 1500

เปิดหน้าต่าง IE ให้ทำงานได้เร็วขึ้น
เมื่อใช้งาน IE ไปนานๆ โปรแกรมจะช้าลงทุกที สามารถทำให้เร็วเหมือนใหม่ได้ ดังนี้
ไปที่ Start---> Run---> พิมพ์ regedit แล้วกด Ok
HKEY_LOCAL_MACHINE---> Software---> Microsoft---> Windows---> CurrentVersion---> Explorer---> RemoteComputer---> NameSpace
คลิกขวาที่โฟลเดอร์ D6277990-4C6A-11CF-8D87-00AA0060F5BF แล้ว delete


ทำให้คอมพ์ Shutdown เร็วขึ้นไม่ต้องรอเป็นนาที
start >run พิม regedit
HKEY_CURRENT_USER\Control Panal\desktop
ในกรอบด้านขวา HungAppTimeout  ให้เปลื่ยนเป็น 1
จากนั้นดูที่ WaitToKillAppTimeout ให้เปลี่ยนเป็น 1
จากนั้นไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\System\CurrentControlSet\Control
ที่ด้านขวา แก้ไขค่า WaitToKillServiceTimeout จาก 20000 ให้เเปลี่ยนเป็น 1


ปรับความเร็วตอนเปิดเครื่อง
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\SessionManager\MemoryManagement\PrefetchParameters ตรงด้านขวามือแก้ไขคีย์ EnablePrefetcher จาก 3 เป็น 5 แล้วกด OK


ลบลูกศรที่ Shortcut
เรียก Regedit ขึ้นมา  แล้วไปที่ [HKEY_CLASSES_ROOT\lnkfile]  คลิก Name ที่ชื่อว่า IsShortcut  แล้วกดปุ่ม Delete เพื่อลบออกไป  หรือ Double Click แล้วใส่ค่าเป็น No


ให้วินโดวส์ใช้แรมให้หมดก่อนจึงค่อยใช้ Virtual Memory(เนื้อที่ในฮาร์ดดิสก์) มา Swap File(แรมจะทำงานเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์)
ไปที่ Start >> Run  พิมพ์ system.ini  หาบรรทัดที่มีหัวข้อว่า [386Enh]  แล้วพิมพ์คำว่า ConservativeSwapfileUsage=1 ต่อท้ายบรรทัดล่างสุด  วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีแรมมากกว่า 128 ขึ้นไป  เพราะมันจะเอาพื้นที่ของ Ram ไปทำ Cache  วิธีนี้ทำให้ Com เร็วขึ้น 40% เลยทีเดียว



ให้วินโดวส์ปิดงานที่ไม่มีการตอบสนองโดยอัตโนมัติ
ถ้าต้องการให้ปิดงานที่ไม่มีการตอบสนองโดยอัตโนมัติ  สามารถทำได้ดังนี้  โดยเปิด Regedit  แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Control Panel\Desktop\AutoEndTasks]  ให้แก้ไขค่าเป็น 1  แล้วแก้ค่า WaitToKillAppTimeout  เป็นจำนวนมิลลิวินาทีที่คุณต้องการ  เช่นเปลี่ยนเป็น 1




จูนหน่วยความจำสำหรับงานต่างๆ ให้ทำงานได้ดีขึ้น
1. เข้าไปที่คีย์ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEM/CurrentControlSet/Control/Session Manager/Memory Management
2. ดับเบิลคลิกที่ LargeSystemCache
3. แก้ค่า Value data เป็น 1
4. คลิก OK


จัดการหั้ย cpu ทำงานเต็มประสิทธิภาพ 
winXP ได้มีลูกเล่นที่ช่วยในการควบคุมการทำงานของ cpu ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้น 
regedit 
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Servic e\P3\Parameters 
คลิกขวาที่ Parameters เลือก new>key 
พิมพ์ชื่อว่า HackFlags แล้วปรับค่าเป็น 1 ก็กด ok 



ทำชอร์ตคัต สำหรับ Shutdown / restart ไว้บนหน้าจอ (windows XP)
คลิกขาวบน Desktop  เลือก New >> Shortcut  จากนั้นพิมพ์
shutdown.exe -s -t 00  (
สำหรับการสั่ง Shutdown)
shutdown.exe -r -t 00  (
สำหรับการสั่ง Restart)
shutdown.exe -l -t 00  (
สำหรับการสั่ง Logoff)



ทำ ชอร์ตคัต สำหรับตั้งเวลา
เคลิกขวาที่หน้าจอ เลือก New >>Shortcut
ใช้คำสั่ง [c:\windows\system32\]shutdown.exe [-s|-r|-l] [-t sec]
-s = shutdown
-r = restart
-l = logoff
-t = timeout

ยกตัวอย่างเช่น  shutdown.exe -s -t 60  นั่นหมายความว่าให้ Shutdown โดยนับถอยหลัง 60 วินาที



พิ่มความเร็วด้วยการจัดคิวให้กับ IRQ
เทคนิคนี้เป็นการเร่งความเร็วให้กับเครื่องคอม โดย windows จะทำการจัดคิวให้กับการใช้งาน IRQ ทำให้ windows สามารถทำงานได้เร็วขึ้น ทำได้ดังนี้
run >>regedit
HKEY_LOCAL_MACHINE\\\\SYSTEM\\\\CurrentControlSet\\\\Contro l\\\\PriorityControl
คลิกขวา PriorityControl เลือก new > DWORD Value
มันจะมีให้ตั้งชื่อว่า IRQ8Priority แล้วดับเบิ้ลคลิกแก้ค่า value data เป็น 1 แล้วกด ok
จากนั้น restart


ใช้แรมทำบัฟเฟอร์ให้ฮาร์ดดิสก์
พิมพ์คำสั่ง sysedit ในช่อง Run เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมาแล้วไปที่ SYSTEM.INI
จากนั้นเพิ่มคำสั่ง Irq14=4096 ใต้บรรทัด [386enh] เซฟไฟล์ แล้ว Restart เครื่องเลยครับ
เทคนิคนี้จะใช้แรมไปประมาณ 4 MB นะครับ

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

โหดนะเรื่องนี้ อิอิ สำหรับคนมีครอบครัวแล้ว "วิธีฆ่าเมียให้ตายอย่างเลือดเย็นที่สุด"

1.เธออยากกินอะไรซื้อให้เธอกิน จนเธอคลอเรสโตรอลสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดเดี๋ยวไม่เกิน50 ปีเธอก็ตายเองล่ะ
2.เธออยากได้เครื่องเพชรก็ซื้อให้เธอ พอแสงเพชรมันสะท้อนเข้าตาเธอมากๆ เข้า เดี๋ยวตาเธอก็จะบอด พอเธอตาบอดแล้วเราก็เอาเธอไปทิ้งที่ไหนก็ได้ พอเธอหาทางกลับบ้านไม่ถูกแล้วเดี๋ยวก็หลงทางกับอดอาหารตายเอง
3. เธอชอบรถก็ซื้อให้เธอ ยิ่งแพงๆยิ่งดี เครื่องมันแรงดี มันจะได้ขับเร็ว ๆ ความเสี่ยงสูง เฟอร์รารี่ยิ่งดี
4. เธออยากไปเที่ยวไหนก็พาเธอไป ต้องมีซักที่แหล่ะที่เธอพลาดเดินล้มหัวฟาดพื้นตายได้
5. งานบ้านอย่าไปให้เธอทำ เราต้องแย่งเธอทำให้หมด ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ออกกำลังกายเดี๋ยวพอเธอไม่แข็งแรง เธอก็จะตายเอง

6. ต้องพาเมียไปหาหมอบ่อยๆ ดูดิคนไม่ค่อยไปหาหมอไม่ค่อยเป็นไรหรอก คนที่ไปหาหมอบ่อยๆ น่ะตายง่ายจะตาย เดี๋ยวสักหน่อยเธอก็ป่วยตายไปเอง
7. เงินเดือนออกมาเท่าไหร่ให้เธอไปให้หมด ใครๆก็รู้ว่าเงินน่ะเป็นที่สะสมเชื้อโรคสารพัด
เราแกล้งเอาเชื้อโรคให้เธอเก็บไว้เดี๋ยวเธอก็เป็นโรคตาย เราเองไม่ต้องเก็บเชื้อโรคไว้ สุขภาพแข็งแรง..เย้ เราปลอดภัยไม่ต้องสะสมเชื้อโรค

8. ปลูกบ้านหลังใหญ่ๆให้เธออยู่ กว้างๆยิ่งดี เวลาจะเดินจากห้องนั้นไปห้องนี้ทีเธอจะได้เหนื่อย เผลอ ๆ
อาจหอบตายระหว่างทางได้ (บางทีเธอก็จะสดุดล้มกลางคฤหาสน์นั่นล่ะ)
9. เช้า-เย็นกราบเธอทุกวัน เธอจะได้อายุสั้นลงเรื่อยๆ
10. รักเมียให้มากๆ ไม่เคยได้ยินเหรอ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เรายิ่งรักเธอมากๆ เธอก็จะทุกข์มากๆ
พอเธอทุกข์มากๆ เธอก็ตรอมใจตายเอง

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

"หัวข้อสัมมนาออนไลน์วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา หัวข้อที่ 2 การขับเคลื่อนคุณภาพ E-learnning ของระดับอุดมศึกษา"


พัฒนาการอุดมศึกษาให้รองรับ E-learning
Tertiary Education should be development to support E-learning
จากกระแสตอบรับการขยายตัวของระบบการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-learning ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสและความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งพยายามจัดหลักสูตร e-learning เอง หรือสร้างเครือข่ายร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศหรือกับหน่วยงานอื่น เช่น มหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย (Thailand Cyber Uniniversity: TCU) ซึ่งเป็นความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ  โดยจะเริ่มเปิดสอนเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศกระทรวงเรื่อง “หลักเกณฑ์การขอเปิดและดำเนินการหลักสูตรระดับปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล พ.ศ. 2548” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2548 เป็นต้นมา เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาแบบ e-learning ให้ได้คุณภาพและมาตรฐานมากขึ้น
หากแต่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลไม่ควรละเลยคือ การพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของการจัดการศึกษาแบบ E-learning โดยอาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเป็นช่องทางขยายโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงการอุดมศึกษามากขึ้นไม่ว่าจะเป็น
การสร้างซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา คือ การสร้างโปรแกรมเพื่อทำให้เกิดการถ่ายทอดข้อมูลไปยังผู้เรียนกลุ่มต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสและช่องทางการเรียนรู้ให้กลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ซอฟต์แวร์แปลภาษา หรือ ซอฟต์แวร์เพื่อกลุ่มคนพิการ เป็นต้น
การสร้างโมดูลทางการศึกษา คือการให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนวิชาข้ามมหาวิทยาลัยที่ตนสนใจได้ เช่น สามารถเลือกเรียนวิชาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และเลือกเรียนวิชาการตัดแต่งพันธุกรรมจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาจูเซต (MIT) ไปพร้อมกัน การเลือกวิชาเรียนตามความต้องการของผู้เรียนนี้ ทำได้โดยการสร้างโปรแกรมจัดวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนวิชาที่เหมาะสมสอดคล้องตามความต้องการและความสนใจของตน อีกทั้งยังทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบสหวิทยาการจากการบูรณาการวิชาที่เด่นของหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งไปพร้อมกันได้
การพัฒนาการวิจัยทางการศึกษา โดยใช้ระบบสารสนเทศสร้างระบบการจัดการข้อมูลที่ทำหน้าที่รวบรวมองค์ความรู้ด้านการเรียนการสอนในรูปแบบต่าง ๆ จากทั่วประเทศและโลกไว้ โดยมีช่องทางแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชา การความคิดเห็น รวมถึงการขยายความร่วมมือทางวิชาการไปทั่วโลก ผ่านเว็บไซต์ หรือไอคอนถามตอบ ทำให้เกิด ปฎิสัมพันธ์ระหว่างฐานข้อมูลและผู้ใช้ที่สะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ เพื่อนำทักษะเหล่านั้นไปใช้ในสภาพจริง เช่น การสร้างห้องเรียน/ห้องทดลองเสมือนจริง การสร้างภาพเคลื่อนไหวเสมือนจริง เพื่อให้ผู้เรียนทดลองทำโดยไม่ต้องลองสนามจริง โดยเป็นการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาแทนในสภาพแวดล้อมที่มีอันตรายและความเสี่ยงสูง และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติจริง
นอกจากนี้รัฐบาลเองควรให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับการศึกษาในปัจจุบันและอนาคต โดยเตรียมความพร้อมของบุคลากรในแวดวงการศึกษาต่าง ๆ ที่จะรับมือกับผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างผู้มีแต้มต่อ และใช้ในขอบเขตที่เอื้อต่อการพัฒนาการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ซึ่งเรื่องนี้มีนักวิชาการและผู้รู้หลายท่านได้แสดงทัศนะและข้อคิดเห็นไว้หลากหลาย ดังเช่น
การประชุมสมัชชาใหญ่สมาคมสมาชิกรัฐสภาระหว่างประเทศด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการด้าน ICT ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกำหนดวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการประชุม เพื่อสร้างความร่วมมือในการยกระดับการนำ ICT ไปใช้และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลสารสนเทศ (Digital Divide)
นายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้แสดงทัศนะไว้ในการประชุม การประชุม World Summit on Information Society ที่จัดขึ้นที่ประเทศตูนิส เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 ว่าอยากเห็นการประชุมนำมาซึ่งประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เป็นการสร้างแรงขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและช่วยเหลือประเทศที่ยากจน ตลอดจนการหาแนวทางที่เฉพาะเจาะจง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลสารสนเทศ  
รวมถึงการเสนอบทความเรื่องไอทีกับภารกิจด้านการเรียนการสอนในอนาคต โดย ดร.นลินี ทวีสิน ซึ่งทำงานด้านการวางยุทธศาสตร์ การวางแผนและการพัฒนาด้าน e-learning มานาน ได้แสดงให้เห็นว่า ทุกภาคส่วนในสังคมต่างมีความห่วงใยในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลสารสนเทศ เพื่อให้คนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา และเทคโนโลยีและความรู้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น
ในการสร้างฐานความรู้โดยอาศัยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งในปัจจุบันนับได้ว่ามีความสำคัญ และมีความจำเป็นต่อวงการศึกษาเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากนโยบายการปฏิรูปการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อให้สถานศึกษาทุกแห่ง ส่งเสริม สนับสนุนเพื่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นกลไกในการจัดการศึกษา เพื่อก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ที่จะตอบสนองให้ผู้เรียนและประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์เพื่อการเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างทั่วถึง มีความเสมอภาคและมีประสิทธิภาพที่เท่าเทียมกัน ที่สำคัญจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่จะนำพาไปสู่การสร้างสังคมการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ปัจจุบันระบบการจัดการศึกษาแบบ e-learning ได้รับการยอมรับว่าเป็นกลไกสำคัญอีกระบบหนึ่งที่มีคุณลักษณะในการสนับสนุน ส่งเสริม ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างอิสระ ช่วยให้เข้าถึงแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ได้อย่างรวดเร็วและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย นอกจากนี้ การจัดการศึกษารูปแบบ e-learning นี้ เป็นการสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก ผู้เรียนสามารถเข้าถึง ควบคุมกระบวนการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง (Self-Directed Learning) กระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ เป็นการเรียน รู้ในลักษณะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered Learning) ด้วยวิธีการที่หลากหลายสนองต่อกลไกการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ และสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานการศึกษาเดียวกัน เรียนรู้ได้ทุกเวลา เข้าถึงสาระเนื้อหาได้ในทุกสถานที่ (anyone-anywhere-anytime learning) โดยใช้กลไกของเทคโนโลยีสารสนเทศ

ในฐานะที่หน่วยงาน สถานศึกษา สังกัด กศน. มีเป้าหมายหลักในการส่งเสริม สนับสนุนการจัดการศึกษาที่ครอบคลุมการจัดศึกษาให้กับ กลุ่มคนที่หลากหลาย แต่ในการใช้ช่องทางทางเทคโนโลยีสารสนเทศ นำมาเป็นช่องทางในการจัด และส่งเสริมการศึกษา อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ดูเหมือนว่ายังทำได้ไม่เต็มที่นัก สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ก็เป็นอีกหน่อยงานหนึ่ง ที่ใช้ ICT เป็นฐาน เป็นช่องทาง การเรียนรู้ การฝึกอบรม มาโดยตลอด ทำให้เห็นว่าหลักสูตร เนื้อหาที่มีอยู่นั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ นอกจากนี้ การใช้งาน การเข้าถึงช่องทาง เส้นทางการศึกษา วิธีนี้ ก็ยังอยู่ในวงจำกัด 
(อยากให้เข้ามาแสดงความคิดเห็นหัวข้อนี้เพิ่มเติมร่วมกันครับ)

"หัวข้อสัมมนาออนไลน์วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา หัวข้อที่ 1 การจัดการการเรียนการสอนแบบ E-learning"

e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning), การเรียนออนไลน (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ การเรียนด้วยวีดีโอผ่านออนไลน์ เป็นต้น
          ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า e-Learning กับการเรียน การสอน หรือการอบรม ที่ใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Based Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมถึงเทคโนโลยีระบบการจัดการหลักสูตร (Course Management System) ในการบริหารจัดการ งานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนด้วยระบบ e-Learning นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ หรือ จากแผ่นซีดี-รอม ก็ได้ และที่สำคัญอีกส่วนคือ เนื้อหาต่างๆ ของ e-Learning สามารถนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology)
          คำว่า e-Learning นั้นมีคำที่ใช้ได้ใกล้เคียงกันอยู่หลายคำเช่น Distance Learning (การเรียนทางไกล) Computer based training (การฝึกอบรมโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ หรือเรียกย่อๆว่า CBT) online learning (การเรียนทางอินเตอร์เนต) เป็นต้น ดังนั้น สรุปได้ว่า ความหมายของ e-Learning คือ รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1 สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้


บทบาทการเรียนการสอน E-learning ในประเทศไทย
          สังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ IT E-learning เป็นการนำไอทีไปใช้ในด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพด้าน การเรียนการสอนในหลากหลายรูปแบบเช่น การนำมัลติมีเดียมาเป็นสื่อการสอนของครู/อาจารย์ ให้ผู้เรียน เรียนรู้ค้นคว้าด้วยตัวเอง ด้วยการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม  ในยุคปัจจุบันเป็นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Stand-alone หรือการเรียนผ่านเครือข่าย เชื่อมโยงสู่อินเทอร์เน็ตเพื่อการค้นคว้าหาข้อมูลแลกเปลี่ยนค้นข้อมูลความรู้บนเครือข่ายซึ่งที่ผ่านมาเราใช้สื่อ การเรียนการสอนในรูปแบบของสื่อผสม (Multimedia) ใช้การนำเสนอลงบนแผ่นซีดี-รอมโดยใช้ Authoring tool ทั้งภาพและเสียงเพื่อเกิดการปฏิสัมพันธ์ ให้กับผู้เรียนซึ่งสื่อเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับ ความสนใจสูงขึ้นเรื่อยๆ
การเปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบชั้นเรียนปกติกับ E-learning
          ชั้นเรียนปกติ
1. ผู้เรียนนั่งฟังการบรรยายในชั้นเรียน
2. ผู้เรียนค้นคว้าจากตำราในห้องสมุดหรือสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
3. เรียนรู้การโต้ตอบจากการสนทนาในชั้นเรียน
4. ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่
          E-learning
1. ใช้ระบบวีดีโอออนดีมานด์เรียนผ่านทางเว็บ
2. ค้นคว้าหาข้อมูลผ่านทางเว็บที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงทั่วโลก สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย
3. ใช้ระดานถาม-ตอบช่วยให้ผู้เรียนกล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้เต็มที่ เหมาะกับผู้เรียนจำนวน มาก
4. จะเรียนเวลาไหน ที่ใดก็ได้
เวลาของการศึกษาออนไลน์
           การศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ได้เจริญเติบโตไปทั่วทุกมุมโลก แนวโน้ม ของเทคโนโลยีดีขึ้น เร็วขึ้นและให้ผลตอบแทนที่มากขึ้นทำให้เกิดความต้องการที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ระบบการศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์กำลังพัฒนามาสู่แอพพลิเคชั่น รูปแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เสมอ
อนาคตของระบบการศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์
          สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับการศึกษาทางอิเล็ก ทรอนิกส์จะเติบโตและเป็นที่แพร่หลายก็คือ การที่ระบบเครือข่ายมีเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการนำเสนอระบบ การเรียนการสอนที่น่าสนใจเช่น การใช้เสียงส่งสัญญาณวีดีโอตามความต้องการ ( Video on demand) และการประชุมผ่านสัญญาณวีดีโอ ในขณะเดียวกันก็ให้บริการที่เชื่อถือได้
          ประเภทของe-learning แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
          1. Synchronous - ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ในเวลาเดียวกัน เป็นการเรียนแบบเรียลไทม์ เน้นผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง เช่นห้องเรียนที่มีอาจารย์สอนนักศึกษาอยู่แล้วแต่นำไอทีเข้ามาเสริมการสอน
          2 . Asychronous- ผู้เรียนและผู้สอนไม่ได้อยู่ในเวลาเดียวกันไม่มีปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ เน้นศูนย์กลางที่ผู้เรียนเป็นการเรียนด้วยตนเองผู้เรียนเรียนจากที่ใดก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเข้าไป ยังโฮมเพจเพื่อเรียน ทำแบบฝึกหัดและสอบ มีห้องให้สนทนากับเพื่อร่วมชั้นมีเว็บบอร์ดและอีเมล์ให้ถาม คำถามผู้สอน แต่ละประเภทก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป
          ข้อดี ของ Synchronous คือ ได้บรรยากาศสด ใช้กับกรณีผู้สอนมีผู้ต้องการเรียนด้วยเป็นจำนวนมาก และสามารถประเมินจำนวนผู้เรียนได้ง่าย
          ข้อเสีย ของ Synchronous คือ กำหนดเวลาในการเรียนเองไม่ได้ต้องเรียนตามเวลาที่กำหนดของคน กลุ่มใหญ่
          ข้อดี ของ Asynchronous คือ ผู้เรียน เรียนได้ตามใจชอบ จะเรียนจากที่ไหน เวลาใด ต้องการเรียน อะไรหรือให้ใครเรียนด้วยก็ได้
          ข้อเสีย ของ Asynchronus ไม่ได้บรรยากาศสด การถามด้วย chat หรือเว็บบอร์ดอาจไม่ได้รับการตอบ กลับ E – learning ในสถานศึกษา สามารถใช้ได้กับสถานศึกษา เริ่มจากที่มหาวิทยาลัย อาจารย์ให้นักศึกษา รับการบ้าน ส่งการบ้านทางอินเทอร์เน็ต มีการพัฒนานำเนื้อหาไว้ที่โฮมเพจของมหาวิทยาลัยให้นักศึกษาเข้า มาเรียนจากบ้านได้
          ประโยชน์จาก E-learning
          1 ความรู้ไม่สูญหายไปกับคนเพราะสามารถเก็บไว้ได้
          2 ประหยัดเวลาเดินทางและค่าใช้จ่าย
          3 ผู้เรียนเลือกได้ว่าต้องการเรียนกับอาจารย์ท่านใดหรือหลายท่านก็ได้
ที่เหลืออยากให้เพื่อนๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นร่วมกันครับ