จิตวิทยาการเรียนการสอนและความเป็นครู ความหมายคือ “จิตวิทยา”เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตโดยศึกษาว่าสิ่งเหล่านี้ได้อิทธิพลอย่างไรจากสภาวะทางร่างกายสภาพจิตใจและสิ่งแวดล้อมภายนอก แนวทางในการศึกษาศึกษาและสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบในห้องทดลองการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพประเมินทางการศึกษา จิตวิทยากับการเรียนการสอน จิตวิทยาการเรียนการสอนเป็นศาสตร์อันมุ่งศึกษาการเรียนรู้และพฤติกรรมของผู้เรียนในสถานการณ์การเรียนการสอนพร้อมทั้งหาวิธีที่ดีที่สุดในการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างสอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียนความรู้ที่อยู่ในขอบข่ายการเรียนการสอน
1. ความรู้เรื่องพัฒนาการมนุษย์
2. หลักการของการเรียนรู้และการสอนประกอบด้วย
ทฤษฎีการเรียนรู้และการเรียนรู้ชนิดต่างๆ
3. ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีผลต่อการเรียน
4. การนำเอาหลักการและวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในการ
แก้ปัญหาการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมายของการนำจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน
ประการแรก
มุุ่งพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ในสถานการณ์การเรียนการสอนประการที่สอง
นำเอาองค์ความรู้ข้างต้นมาสร้างรูปแบบเชิงปฏิบัติเพื่อครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน
หลักการสำคัญ
1. มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน
2. มีความสามารถในการประยุกต์หลักการจิตวิทยาเพื่อการเรียนการ
สอน
3. มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่
4. มีเจตคติที่ดีต่อผู้เรียน
จิตวิทยาครู
ครู หมายถึง ผู้สอน มาจากภาษาบาลีว่า “ครุ”
ภาษาสันสกฤตว่า “คุรุ” แปลว่า หนัก สูงใหญ่
- ครูต้องรับภารหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบ
- ครูต้องมีความหนักแน่น สุขุม ไม่วู่วาม
ทั้งความคิดและการกระทำ
บทบาทและความสำคัญของครูในปัจจุบัน
ธีรศักดิ์ (2542) ได้กล่าวถึง 4 ประเด็น ดังนี้
- บทบาทและความสำคัญต่อเยาวชน
- บทบาทและความสำคัญของครูในการพัฒนาทรัพยากรม
นุษย์
- บทบาทและความสำคัญของครูในการรักษาชาติ
- บทบาทและความสำคัญของครูในเยียวยาสังคม
รูปแบบของครู (Models of Teachers)
Fenstermacher และ Soltis (1992)
ได้กล่าวถึงรูปแบบและบทบาทของครู เป็น 3 ประเภท
1. The Executive Model
ทำหน้าที่คล้ายบริหาร
2. The Therapist Model
มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างใกล้ชิด
3. The Liberationist Model
ครูที่ให้อิสระผู้เรียนในการเรียนรู้
Parsons and others (2001)กล่าวว่าครูควรมีหลายบทบาทตามความเหมาะสมของสภาพการณ์
มิใช่มีความรู้หรือเชี่ยวชาญเฉพาะเนื้อหา ดังนั้นครูอาจมีบทบาทดังนี้
- รับผิดชอบการวางแผนการสอนและวัดผล
- มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการสอนหรือให้ข้อมูลแก่ผู้เรียนอย่าง
มีประสิทธิภาพ
- ทำหน้าที่ผู้จัดการ
หรือบริหารห้องเรียนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้
- ให้คำปรึกษา รับฟังความคิดเห็นแก่ผู้เรียน
บทบาทดังกล่าวนี้มีความสอดคล้องกับแนวคิดของWoolfok และ
Nicalich (1980) ที่กล่าวไว้หลายประเด็นและมีคลอบคลุม ดังนี้
- เป็นผู้ชำนาญการสอน
- เป็นผู้จัดการ เป็นผู้นำ
- เป็นผู้ให้คำปรึกษา
- เป็นวิศวกรสังคม
- เป็นตัวแบบ
หลักการที่สำคัญสำหรับครู Mamchak and Mamchak (1981)ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างครูและนักเรียนการสร้างบรรยากาศในห้องเรียน
- ไม่รื้อฟื้นปัญหาที่เคยเกิดขึ้น
- ให้ความยุติธรรมแก่เด็ก อย่างเท่าเทียมกัน
- ตั้งเป้าหมายที่นักเรียนสามารถทำได้
- ครูควรบอกถึงข้อจำกัดของตน
- ครูควรทราบข้อจำกัดของเด็กแต่ละคน
- ครูควรใส่ใจเด็กทุกคน
ความสำคัญของจิตวิทยาการเรียนการสอน
- ทำให้รู้จักลักษณะนิสัยของผู้เรียน
- ทำให้เข้าใจพัฒนาการบุคลิกภาพบางอย่างของผู้เรียน
- ทำให้ครูเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล
- ทำให้ครูทราบว่ามีองค์ประกอบใดบ้างที่มีผลกระทบต่อสัมฤทธิ์ทางการเรียนเช่น แรงจูงใจ ความคาดหวัง เชาวน์ปัญญา ทัศนคติฯลฯ
ความสำคัญของจิตวิทยาการเรียนการสอน
- ทำให้ครูทราบทฤษฎี หลักการเรียนรู้
รวมทั้งหลักการสอนและวิธีการสอน
- ทำให้ครูวางแผนการสอนได้อย่างเหมาะสม
- ทำให้ครูจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนได้สอดคล้องกับพัฒนาการ
รวมทั้งสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนที่เอื้อต่อการปกครองชั้นเรียน
(สุวรี, 2535)
อยากให้ร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องวิชาจิตวิทยาสำหรับครูด้วยกันนะครับเวลาสอบจะได้มีข้อมูลเยอะๆ ไง เพราะพวกเรามันเรียนไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย

41 ความคิดเห็น:
ครูที่ดีต้องมีหลักจิตวิทยานะครับ กล่าวคือ จะต้องเป็นนักมนุษย์นิยม มีการยอมรับฟังข้อคิดเห็นของนักเรียน มีความจริใจ มีพฤติกรรมที่อบอุ่น ไม่ว่านักเรียนจะมาในรูปแบบไหนครูจะต้องยอมรับกับสภาพของนักเรียนได้ที่สำคัญอย่าทำให้นักเรียนรุ้สึกอับอาย หวาดระเเวง ผิดหวังท้อเเท้ ให้เขามีความรู้สึกว่าปลอดภัย อบอุ่น บางครั้งบรรยากาศในห้องเรียนหรือกิจกรรเล็กๆที่เราจัดให้เขาอาจเป็นกิจกรรมทีเขาซึมซับหรือประทับใจตลอดชีวิต ศรัทธาและเชื่อมั่นครับ (ครูบ้านทุ่ง)
ครูมีหน้าที่สอนเด็ก และเด็กก็คือเด็ก เด็กต้องดื้อต้องซน ถ้าไม่ดื้อไม่ซนก็ไม่ใช่เด็ก แล้วเขาจะมีครูไว้ทำไมถ้าไม่มีไว้สอนเด็ก หน้าที่ครูคือสอนเด็กดื้อให้เป็นเด็กดี"
ครูมีหน้าที่สอนหนังสือ สอนทักษะชีวิตให้กับเด็กนักเรียน แต่ครูก็ไม่ได้สอนเด็กแต่เพียงฝ่ายเดียว พ่อแม่ เพื่อน สิ่งแวดล้อม ชุมชน ทุกสิ่งรอบตัวเด็กล้วนเป็นครูของเด็กทั้งนั้น ดังนั้นครูสอนเด็กกลุ่มเดียวกัน วิธีสอนเหมือนกัน แต่ภูมิหลังของเด็กไม่เหมือนกัน ผลที่ได้กับเด็กแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน แต่ความคาดหวังของครูนั้นยิ่งใหญ่ เพราะหวังให้เด็กทุกคนเป็นคนดี อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
จิตวิทยา คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ (กระบวนการของจิต) , กระบวนความคิด, และพฤติกรรม ของมนุษย์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหาที่นักจิตวิทยาศึกษาเช่น การรับรู้ (กระบวนการรับข้อมูลของมนุษย์) , อารมณ์, บุคลิกภาพ, พฤติกรรม, และรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จิตวิทยายังมีความหมายรวมไปถึงการประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน (เช่นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว, ระบบการศึกษา, การจ้างงานเป็นต้น) และยังรวมถึงการใช้ความรู้ทางจิตวิทยาสำหรับการรักษาปัญหาสุขภาพจิต นักจิตวิทยามีความพยายามที่จะศึกษาทำความเข้าใจถึงหน้าที่หรือจุดประสงค์ต่าง ๆ ของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ขณะเดียวกันก็ทำการศึกษาขั้นตอนของระบบประสาทซึ่งมีผลต่อการควบคุมและแสดงออกของพฤติกรรม
นักจิตวิทยา ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้พัฒนาวิธีการบำบัดทางจิตเรียกว่าจิตวิเคราะห์ การศึกษาของฟรอยด์เป็นการรวบรวมข้อมูลจากการสังเกต และแปลความหมายพฤติกรรมของคนไข้ของเขา การศึกษาของเขาส่วนมากเป็นการทำความเข้าใจจิตไร้สำนึก การเจ็บป่วยทางจิต และจิตพยาธิวิทยา ทฤษฎีของฟรอยด์เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาที่นำมาใช้อธิบายพัฒนาการทางพฤติกรรมของมนุษย์ และได้กลายเป็นทฤษฎีที่รู้จักและถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง เพราะเรื่องที่เขาศึกษานั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ การเก็บกดอารมณ์ทางเพศ และจิตไร้สำนึก ซึ่งในช่วงเวลานั้นเรื่องเหล่านี้ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคม แต่ฟรอยด์ก็สามารถทำให้การศึกษาของเขาเป็นประเด็นสำหรับการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสุภาพได้
จิตวิทยาได้เริ่มขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล เพลโตเชื่อว่าการคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธีการสังเกตหรือการทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกาย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการก็เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้แนวทาง การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา
การขยายตัวทางจิตวิทยา
ห้องปฏิบัติการทดลองทางจิตวิทยาห้องแรก ถูกสร้างขึ้นโดย Wilhelm Wundt ในปี ค.ศ. 1879 ที่เมืองไลป์ซิก ประเทศเยอรมนี โดยมีการจัดตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้น คือ กลุ่มโครงสร้างนิยม (Structuralism) การศึกษาจิตต้องศึกษาส่วนย่อย ๆ ที่ประกอบขึ้นมา ใช้วิธีการพื้นฐานทางจิตวิทยา คือ การสังเกตตนเอง หรือที่เรียกว่า การตรวจพินิจจิต (Introspection)
ในปี ค.ศ. 1890 ได้มีการจัดตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้นใหม่อีก คือ กลุ่มหน้าที่นิยม (Functionalism) นักจิตวิทยากลุ่มนี้เห็นว่า จิตวิทยาควรเป็นการศึกษาวิธีการที่คนเราใช้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวิธีการที่บุคคลนั้นพอใจ และเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพของบุคคลนั้นด้วย นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ความสนใจ ความรู้สำนึก (consciousness) เพราะความรู้สำนึกเป็นเครื่องมือที่ทำให้บุคคลเลือกกระทำพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ความรู้สำนึกเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน ไม่สามารถแยกวิเคราะห์เป็นส่วนย่อยได้ นักจิตวิทยากลุ่มนี้สนใจศึกษาสาเหตุของพฤติกรรมมากกว่าการศึกษาพฤติกรรมที่ปรากฏออกมา ให้เห็น
ในช่วงเวลาเดียวกัน ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ได้เสนอทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory) โดยมีวิธีการศึกษา จากการสังเกตและรวบรวมประวัติคนไข้ที่มารับการบำบัดรักษา ฟรอยด์เชื่อว่าความไร้สำนึกมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของพฤติกรรม และเน้นถึงความต้องการทางเพศตั้งแต่วัยเด็ก
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จอห์น บี วัตสัน ได้ก่อตั้ง กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioralism) โดยเห็นว่า การตรวจพินิจจิตเป็นวิธีการที่ไม่ดีพอ การศึกษาจิตวิทยาควรจะหลีกเลี่ยงการศึกษาจากความรู้สำนึก แล้วหันไปศึกษา พฤติกรรมที่มองเห็นได้ เพื่อให้สามารถทำนายและควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ และเน้นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมว่ามี อิทธิพลต่อพฤติกรรมมากกว่าพันธุกรรมอีกด้วย
ในช่วงเวลาเดียวกัน ประเทศเยอรมนีได้เกิดกลุ่มจิตวิทยาขึ้น ได้แก่ จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) แนวคิดของจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นว่า การทำงานของจิตเป็นการทำงานของส่วนรวม ดังนั้นจึงสนใจศึกษาส่วนรวมมากกว่าส่วน ย่อย แนวคิดนี้เริ่มมีบทบาทขึ้นเมื่อนักจิตวิทยาชาวอเมริกันเริ่มให้ความสนใจในปัญหาของการรับรู้ การคิดแก้ปัญหาและ บุคลิกภาพ จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของกลุ่มจิตวิทยาการรู้การเข้าใจ (Cognitive psychology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลไกภายใน ที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และต่อจากนั้นมา จิตวิทยาก็เป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไปและนิสิตนักศึกษามาก ขึ้นเรื่อยๆ
จิตวิทยาในประเทศไทย
หลายคนเชื่อว่าจิตวิทยาเกิดขึ้นในโลกเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว นั่นคือ จิตวิทยาทางพระพุทธศาสนา นั่นเอง สำหรับในประเทศไทยนั้น เพิ่งมีหลักฐานปรากฏว่ามีการสอนวิชาจิตวิทยาในโรงเรียนฝึกหัดครูปฐม ในช่วงเวลาก่อน พ.ศ. 2473 เล็กน้อย และในปี พ.ศ. 2473 ก็มีการสอนจิตวิทยาเป็นวิชาหนึ่งใน 5 วิชา ของการสอนวิชาครุศาสตร์ในคณะ อักษรศาสตร์และครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 กระทรวงศึกษาธิการด้วยความช่วยเหลือขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้จัดตั้ง สถาบันระหว่างชาติสำหรับการค้นคว้าเรื่องเด็กขึ้นในวิทยาลัยวิชาการศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่วิชาเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็ก ต่อมามีการศึกษาที่กว้างขวางมากขึ้น ใน สถาบันอื่นก็ได้เปิดหลักสูตรวิชาจิตวิทยาในหลายสาขา ในปัจจุบันและในอนาคต มีการคาดหวังไว้ว่าจิตวิทยาในประเทศไทย จะเจริญก้าวหน้า ช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป
ความสำคัญของจิตวิทยาเด็กสําหรับบิดามารดาและครู
เด็กที่อยู่ในทุกชนิดสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมหลัง. ที่แตกต่างกันฟักฟูมครอบครัวและเด็กที่แตกต่างกันด้วยเหตุนี้คือเพื่อให้ทุก คนที่ไม่ซ้ำกันในแนวทาง. อย่างไรก็ตามเป็นเอกฉันท์ในโลกบิดามารดาและครูเล่นบทบาทสำคัญในการพัฒนาเขา เด็ก.
ความเข้าใจและ nurturing ของเด็กที่ทำให้ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดในบุตรจิตวิทยา.
บิดามารดาและครูควรให้สัมผัสกับแงเด็กจิตวิทยาและวิธีการจัดการกับขั้นตอน ที่แตกต่างกันพัฒนาการของเด็กเพื่อว่าพวกเขาสามารถใช้สิทธิตัดสินใจ. แม้แต่ง่ายๆสิ่งที่ต้องการแก้ไขเด็กมากเกินไปหรืออากาศกดเด็กในชีวิตประจำ วันจะมีผลกระทบที่ใหญ่และสามารถมหึมาเปลี่ยนแปลงของพวกเขาพฤติกรรมแพ ทเทิร์น.
เด็กให้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้อื่นและหากพวก เขาไม่สามารถทำสิ่งที่พวกเขาผ่านมันแสดงรุกรานหรือการยืนกราน. ถ้าเป็นครูผู้ปกครองหรือผู้ที่อยู่กับเด็กของรุกรานหรือการยืนกรานรู้เกี่ยว กับเรื่องนี้และวิธีที่จะตอบสนองต่อการเด็กก็จะเป็นผลดีในเด็ก. การก้าวร้าวเด็กสามารถสอนไม่ถูกเข้มงวดโดยไม่มีการลงโทษหรือทำให้การเปลี่ยน แปลงของเขาสุดขีดกำหนดการตาม psychiatrists. แม้แต่ครอบครัวพื้นหลังของเด็กเล่นมากบทบาทในลักษณะรูปแบบและเข้าใจมันแม่ หรือครูควรใช้ขั้นตอนริเริ่ม. จิตวิทยาเด็กไม่เพียงเกี่ยวกับการรักษาเยียวยาเด็กแต่ยังเข้าใจความต้องการ และพฤติกรรมรูปแบบ.
จิตวิทยาสําหรับครู
สาระความรู้
1) จิตวิทยาพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการมนุษย์
2) จิตวิทยาการศึกษา
3) จิตวิทยาการแนะแนวและให้คําปรึกษา
สมรรถนะ
1) เข้าใจธรรมชาติของผู้เรียน
2) สามารถช่วยเหลือผู้เรียนให้เรียนรู้และพัฒนาได้ตามศักยภาพของตน
3) สามารถให้คําแนะนําช่วยเหลือผู้เรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
4) สามารถส่งเสริมความถนัดและความสนใจของผู้เรียน
ทุกคนต้องมีศรัทธาในวิชาชีพของตน
การศึกษาพยายามที่จะช่วยเหลือคนในการปรับตัวได้อย่างดีที่สุดส่วนจิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่คำนึงเกี่ยวกับการปรับตัวของคนดังนั้นจิตวิทยาการศึกษาจะเป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการปรับตัวของคนไปปฏิบัติจริงเพื่อช่วยเหลือในการปรับตัวดังนั้นหน้าที่สำคัญประการแรกคือการจัดการเกี่ยวกับเรื่องการเรียนรู้ การเรียนการสอนซึ่งจะเป็นเรื่องราวทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา อันได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีแรงจูงใจ และทฤษฎีพัฒนาการ ลักษณะธรรมชาติผู้เรียน สิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการเรียนรู้ตลอดจนวิธีการนำความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปช่วยในการปรับตัวให้ดีขึ้นHorace B. English and Ava C. English ซึ่งได้กล่าวถึง ความหมายของจิตวิทยาว่า จิตวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับ
- พฤติกรรม (Behavior)
- การกระทำ (Acts)
- กระบวนการคิด (Mental process)ไปพร้อมกับการศึกษาเรื่อง สติปัญญา, ความคิด , ความเข้าใจ การใช้เหตุผล การเข้าใจตนเอง (Selfconcept)ตลอดจนพฤติกรรมของบุคคลด้วยจิตวิทยาการศึกษา ซึ้งเป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาให้เข้าใจเกี่ยวกับ พฤติกรรมของมนุษย์ องค์ประกอบที่สำคัญของการจัดการ จึงครอบคลุมผู้เรียน ผู้สอน และสิ่งแวดล้อมขอบข่ายของจิตวิทยาการศึกษา จึงมีในเรื่องต่อไปนี้
1. ศึกษาเรื่องประวัติความเป็นมา ของจิตวิทยา แนวคิดของนักจิตวิทยา ที่มีผลต่อการเรียนรู้
2. ศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยเน้นเรื่อง ความ
แตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่อง สติปัญญา ความถนัด ความสนใจ ทัศนคติ และแรงจูงใจ เป็นต้น
3. การเรียนรู้ โดยเน้นศึกษาธรรมชาติของการเรียนรู้ องค์ประกอบของการเรียนรู้การแก้ปัญหาโดยอาศัยหลักการเรียนรู้ การถ่ายโยง ตลอดจนการจัดสภาพการเรียนรู้ต่าง ๆ
4. การประยุกต์เทคนิคและวิธีการเรียนรู้ โดยผู้สอนเน้นให้ ผู้เรียนสามารถนำ
เทคนิคและวิธีการไปใช้ในการเรียนการสอนการแก้ปัญหาในการพัฒนาตน
5. การปรับพฤติกรรม โดยเน้นการปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา ไปสู่พฤติกรรมที่พึง
ปรารถนา โดยใช้หลักการเรียนรู้ เป็นต้น
6. เทคนิค และวิธีการต่างๆ ที่ใช้ในการศึกษาจิตวิทยา เช่น การสังเกต การสำรวจ การ
ทดลอง และศึกษาเป็นรายกรณี
วัตถุประสงค์ของจิตวิทยาการศึกษา
Good win and Klausmeier ได้กล่าวอยู่ 2ประการ คือ
1. เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ของคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่และจัดรวบรวมอย่างมีระบบเข้าเป็นทฤษฎีหลักการและข้อมูลต่างๆเกี่ยวข้องลักษณะนี้เป็นศาสตร์ทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ (behavioral science)
2. เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการเรียนและผู้เรียนมาจัดรูปแบบเพื่อให้ผู้สอน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาได้นำทฤษฎีและหลักการไปใช้ผู้สอนซึ่งมีหลักทางจิตวิทยาดี ย่อมจะสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ผู้สอนเข้าใจ
จิตวิทยาการศึกษามีขอบข่ายกว้างขวาง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาอื่น ดังนี้
1. จิตวิทยา (Psychology) คือ ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ และสัตว์ การศึกษาค้นคว้าทางจิตวิทยาในปัจจุบันใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลอย่างมีกฎเกณฑ์ ระเบียบแบบแผน จ
2. จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) เป็นการค้นคว้าถึงการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงวัยชรารวมทั้งอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการและลักษณะความต้องการความสนใจของคนในวัยต่างๆซึ่งอาจแบ่งเป็น จิตวิทยาเด็ก จิตวิทยาวัยรุ่น จิตวิทยาผู้ใหญ่
3. จิตวิทยาสังคม(SocialPsychology)เป็นการศึกษาค้นคว้าถึงพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางสังคม จิตวิทยาสังคมเกี่ยวพันถึงวิชาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมวิทยา(Sociology)และมนุษยวิทยารวมทั้งเกี่ยวพันถึงสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างมากเป็นต้นว่าการเมืองศาสนาเศรษฐศาสตร์สุขภาพจิต
4. จิตวิทยาอปกติ (Abnormal Psychology) เป็นการศึกษาถึงความผิดปกติต่าง ๆ เช่น โรคจิต และโรคประสาท ความผิดปกติอันเนื่องจาก ความเครียดทางจิตใจ เป็นต้น
5.จิตวิทยาประยุกต์(AppliedPsychology)เป็นการนำความรู้และกฎเกณฑ์ทางจิตวิทยาแขนงต่างๆมาดัดแปลงใช้ให้เกิดประโยชน์หรือนำไปใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น นำไปใช้ในการรักษาพยาบาล การให้คำปรึกษาหารือในวงการอุตสาหกรรม การควบคุมผู้ประพฤติผิด เป็นต้น
6. จิตวิทยาการเรียนรู้(Psychology of learning) เป็นการศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ ธรรมชาติของการเรียนรู้ การคิด การแก้ปัญหา การจำ การลืม รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้
7.จิตวิทยาบุคลิกภาพ(Psychology of Personality)เป็นการศึกษาคุณลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมที่ทำให้บุคคลมีความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือแตกต่างจากบุคคลอื่น ทั้งในด้านแนวคิด ทัศนคติ การปรับตัวและการแก้ปัญหา
ประโยชน์ของจิตวิทยาการศึกษามีดังต่อไปนี้
1. ช่วยให้ผู้สอนสามารถเข้าใจตนเอง พิจารณา ตรวจสอบตนเอง ทั้งในด้านดีและข้อบกพร่อง รวมทั้งความสนใจ ความต้องการ ความสามารถ ซึ่งจะทำให้สามารถคิด และตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆได้อย่างเหมาะสม
2. ช่วยให้ผู้สอน เข้าใจทฤษฎีวิธีการใหม่ ๆ และสามารถนำความรู้เหล่านั้น มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนนำเทคนิคการใช้ได้เหมาะสมและเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง เช่นใน การเรียนสิ่งที่เป็นนามธรรมผู้สอนจำเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อประกอบการสอนเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
3.ช่วยให้ผู้สอนเข้าใจธรรมชาติความเจริญเติบโตของผู้เรียนและสามารถจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสม กับธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจ ของผู้เรียนแต่ละวัยได้
4. ช่วยให้ผู้สอน เข้าใจ และสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน วิธีจัดกิจกรรมตลอดจนวิธีการวัดผล ประเมินผลการศึกษา ให้สอดคล้องกับความเจริญเติบโตของผู้เรียน ตามหลักการ
5. ช่วยให้ผู้สอน รู้จักวิธีการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อหาทางช่วยเหลือแก้ปัญหา และส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนให้เป็นไปอย่างดีที่สุด
6.ช่วยให้ผู้สอนมีสัมพันธ์ภาพที่ดีกับผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถทำงานกับผู้เรียนได้อย่างราบรื่น
7. ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษา ได้วางแผนการศึกษา การจัดหลักสูตร อุปกรณ์การสอน และการบริหารได้อย่างถูกต้อง
8.ช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดีรู้จักจิตใจคนอื่นรู้ความต้องการความสนใจและปรับตัวให้เข้ากับลักษณะเหล่านั้นได้ก็จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุข
เห็นด้วยกับคุณปืติภัทร์ ครับหาข้อมูลดีๆ ให้เพื่อนๆ ได้อ่าน
ครูจำเป็นต้องใช้จิตวิทยาในการสอนเพื่อที่จะใช้วิธีที่เหมาะสมจูงใจให้นักเรียนอยากเรียนรู้ ครูจะต้องใช้วิธีการประเมินผลที่สามารถบอกได้ว่าการเรียนรู้ได้เกิดขึ้นจริง และไม่เพียงแค่สอนนักเรียน แต่ต้องให้นักเรียนมีพัฒนาการทั้งด้านสติปัญญาและด้านบุคลิกภาพด้วย โดยทำตนเป็นผู้ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียนให้ไปในทางบวก เพื่อนักเรียนจะได้เจริญเติบโตเป็นบุคคล ที่มีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า มีความภูมิใจในตัวเองและมีความสุข
น่าสนใจเรื่องจิตใจของคนเราห้ามกันได้ยากจะทำอย่างไรให้เด็กอยากที่จะเรียนรู้และสนใจในวิชาที่เด็กไม่ชอบแล้วทำให้เด็กชอบวิชาที่เราสอนโดยใช้วิชาจิตวิทยากระตุ้นการอยากเรียนรู้ของเด็กแล้วจะกระตุ้นแบบไหนได้บ้างเพื่อทำให้เด็ก ๆ เกิดการอยากเรียนรู้มากขึ้น
จิตวิทยาการศึกษาเป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียน ในสภาพการเรียนการสอนหรือในชั้นเรียน เพื่อค้นคิดทฤษฎีและหลักการที่จะนำมาช่วยแก้ปัญหาทางการศึกษาและส่งเสริมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ
จิตวิทยาการศึกษามีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษา การสร้างหลักสูตรและการเรียนการสอน โดยคำนึงถึงความแตกต่างของบุคคล นักการศึกษาและครูจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาการศึกษา เพื่อจะได้เข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนและกระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนแก้ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนการสอนเหมือนกับวิศวกรที่จำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
โดยทั่วไปแล้ว เนื้อหาของจิตวิทยาการศึกษาที่เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับครูและนักการศึกษาประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
๑. ความสำคัญของวัตถุประสงค์ของการศึกษาและบทเรียน นักจิตวิทยาการศึกษาได้เน้นความสำคัญของความแจ่มแจ้งของการระบุวัตถุประสงค์ของการศึกษา บทเรียน ตลอดจนถึงหน่วยการเรียน เพราะวัตถุประสงค์จะเป็นตัวกำหนดการจัดการเรียนการสอน
๒. ทฤษฎีพัฒนาการ และทฤษฎีบุคลิกภาพ เป็นเรื่องที่นักการศึกษาและครูจะต้องมีความรู้ เพราะ จะช่วยให้เข้าใจเอกลักษณ์ของผู้เรียนในวัยต่างๆ โดยเฉพาะวัยอนุบาล วัยเด็ก และวัยรุ่น ซึ่งเป็น
วัยที่กำลังศึกษาในโรงเรียน
๓. ความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่ม นอกจากมีความเข้าใจพัฒนาการของเด็กวัยต่างๆ แล้ว นักการศึกษาและครูจะต้องเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่มทางด้านระดับเชาวน์ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ เพศ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งนักจิตวิทยาได้คิดวิธีการวิจัยที่จะช่วยชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นตัวแปรที่สำคัญในการเลือกวิธีสอน และในการสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม
๔. ทฤษฎีการเรียนรู้ นักจิตวิทยาที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้ นอกจากจะสนใจว่าทฤษฎีการเรียนรู้จะช่วยนักเรียนให้เรียนรู้และจดจำอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรแล้ว ยังสนใจองค์ประกอบเกี่ยวกับตัวของ ผู้เรียน เช่น แรงจูงใจว่ามีความสัมพันธ์กับการเรียนรู้อย่างไร ความรู้เหล่านี้ก็มีความสำคัญต่อการเรียนการสอน
๕. ทฤษฎีการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษา นักจิตวิทยาการศึกษาได้เป็นผู้นำในการบุกเบิกตั้งทฤษฎีการสอน ซึ่งมีความสำคัญและมีประโยชน์เท่าเทียมกับทฤษฎีการเรียนรู้และพัฒนาการในการช่วยนักการศึกษาและครูเกี่ยวกับการเรียนการสอน สำหรับเทคโนโลยีในการสอนที่จะช่วยครูได้มากก็คือ คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน
๖. หลักการสอนและวิธีสอน นักจิตวิทยาการศึกษาได้เสนอหลักการสอนและวิธีการสอนตามทฤษฎีทางจิตวิทยาที่แต่ละท่านยึดถือ เช่น หลักการสอนและวิธีสอนตามทัศนะนักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม และมานุษยนิยม
๗. หลักการวัดผลและประเมินผลการศึกษา ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้จะช่วยให้นักการศึกษา และครูทราบว่า การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพหรือไม่ หรือผู้เรียนได้สัมฤทธิผลตามวัตถุประสงค์เฉพาะของ แต่ละวิชาหรือหน่วยเรียนหรือไม่ เพราะถ้าผู้เรียนมีสัมฤทธิผลสูง ก็จะเป็นผลสะท้อนว่าโปรแกรมการศึกษามีประสิทธิภาพ
๘. การสร้างบรรยากาศของห้องเรียน เพื่อเอื้อการเรียนรู้และช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของนักเรียน
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางจริยธรรม
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางจริยธรรม ทองคูณ หงส์พันธ์ (2542 อ้างถึงในบรรเทา, ม.ป.ป.: 43 ) ได้ให้แนวคิดเป็น 2 แนวคิด คือ
1. พัฒนาการสติปัญญา (cognitive development) บุคคลที่มีแนวคิดทางด้านนี้ ได้แก่ เปียเจท์(piaget) และโคลเบิร์ก (Kohlberg) หลักสำคัญของแนวคิดนี้ คือ การพัฒนาเจตคติเชิงจริยธรรมตามลำดับขึ้นอย่างต่อเนื่องตามลำดับอายุ โดยมีความเชื่อว่า
1.1 การพัฒนาจริยธรรมมีพื้นฐานจากองค์ประกอบโครงสร้างทางปัญญา และเหตุผลเชิงจริยธรรม
1.2 การจูงใจเบื้องต้นในการพัฒนาจริยธรรม ได้แก่ การจูงใจเกี่ยวกับการยอมรับความสามารถ ความนับถือตนเอง หรือความสำนึกในตนเองมากกว่าความต้องการทางชีววิทยาหรือความปลดเปลื้องความวิตกกังวล หรือความหวาดกลัว
1.3 การพัฒนาทางจริยธรรมเป็นวัฒนธรรมสากล เพราะการไปมีบทบาทและความขัดแย้งทางสังคม จะเป็นการกำหนดจริยธรรมโดยส่วนรวมขึ้น
1.4 หลักการของการพัฒนาจริยธรรม ได้แก่ โครงสร้างที่เกิดขึ้นโดยผ่านประสบการณ์จากปฏิสัมพันธ์ในสังคม ระหว่างตนเองกับบุคคลอื่น
1.5 อิทธิพลต่อการพัฒนาจริยธรรม ได้แก่ คุณภาพและขอบเขตของความรู้ และสิ่งเร้าจากสังคม มีผลต่อการพัฒนาจริยธรรมของเด็กตลอดเวลา
2. การเรียนรู้ทางสังคม (social leraning) แนวคิดนี้ก็คือ กระบวนการทางสังคมประพฤติ (socialization) หรือการขัดเกลาทางสังคมนั่นเอง ทฤษฎีนี้ถือว่า อิทธิทางสังคมทำให้บุคคลเกิดการยอมรับลักษณะและกฎเกณฑ์ทางสังคมมาเป็นลักษณะและจริยธรรมของตน แนวคิดการพัฒนาจริยธรรม แนวคิดการพัฒนาจริยธรรม แนวคิดนี้มีนักจิตวิทยาสังคมหลายท่าน เช่น บรอนเฟนเบรนเนอร์ (Bronfenbrenner) แบนดูรา (Bandura) สกินเนอร์(Skinner) โดยมีแนวคิดดังนี้ คือ
2.1 การพัฒนาจริยธรรม เป็นความเจริญเชิงพฤติกรรมและอารมณ์ที่เป็นไปตามกฎของจริยธรรมมากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางปัญญา
2.2 การจูงใจเบื้องต้นในการพัฒนาจริยธรรมมีรากฐานจากความต้องการทางจิตวิทยา คือ การแสวงหารางวัลในสังคม และการหลีกเลี่ยงการลงโทษจากสังคม
2.3 พัฒนาการทางจริยธรรม มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของสังคม
2.4 หลักการของการพัฒนาจริยธรรม ได้แก่ การตอบสนองของบุคคลต่อกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ภายนอก
2.5 อิทธิพลต่อการพัฒนาจริยธรรม ได้แก่ ปริมาณของการให้รางวัล การลงโทษ ข้อห้ามต่าง ๆ แบบอย่างของพฤติกรรมที่ได้จากบิดามารดา และแหล่งของการให้การอบรมกล่อมเกลาจิตใจ
จากแนวคิดในการพัฒนาจริยธรรมจะเห็นได้ว่า ระดับสติปัญญา การอบรมกล่อมเกลาทางสังคม ศาสนาและปรัชญาทางจริยศาสตร์ ทำให้เกิดหลักการทางจริยธรรม (moral principle) และการยึดมั่นในค่านิยมต่าง ๆ ของสังคม
ทฤษฎีของโคลเบิร์ก (Kohlberg’ s Theory)
โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg) ได้ศึกษาวิจัยพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวทฤษฎีของพีอาเจต์ แต่โคลเบิรก์ได้ปรับปรุงวิธีวิจัยการวิเคราะห์ผลรวมและได้วิจัยอย่างกว้างขวางในประเทศอื่นที่มีวัฒนธรรมต่างไป วิธีการวิจัย จะสร้างสถานการณ์สมมติปัญหาทางจริยธรรมที่ผู้ตอบยากที่จะตัดสินใจได้ว่า “ถูก” “ผิด” “ควรทำ” “ไม่ควรทำ” อย่างเด็ดขาด เพราะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง การตอบจะขึ้นกับวัยของผู้ตอบเกี่ยวกับความเห็นใจในบทบาทของผู้แสดงพฤติกรรมในเรื่องค่านิยมความสำนึกในหน้าที่ในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม ความยุติธรรมหรือหลักการที่ตนยึดถือ โคลเบิร์ก ให้คำจำกัดความของจริยธรรมว่า จริยธรรมเป็นความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับความถูกผิด และเกิดขึ้นจากกระบวนการทางความคิดอย่างมีเหตุผล ซึ่งต้องอาศัยวุฒิภาวะทางปัญญา
โคลเบิร์ก เชื่อว่าพัฒนาการทางจริยธรรมเป็นผลจากการพัฒนาการของโครงสร้างทางความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับจริยธรรม นอกจากนั้น โคลเบิร์ก ยังพบว่า ส่วนมากการพัฒนาทางจริยธรรมของเด็กจะไม่ถึงขั้นสูงสุดในอายุ 10 ปี แต่จะมีการพัฒนาขึ้นอีกหลายขั้นจากอายุ 11-25 ปี การใช้เหตุผลเพื่อการตัดสินใจที่จะเลือกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง จะแสดงให้เห็นถึงความเจริญของจิตใจของบุคคล การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของสังคมใดสังคมหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นการใช้เหตุผลที่ลึกซึ้งยากแก่การเข้าใจยิ่งขึ้นตามลำดับของวุฒิภาวะทางปัญญา
พระราชวรมุนี (2523:12-14) กล่าวว่า คำว่าจริยะ จริยา ตลอดจนจริยธรรมมีความหมายกว้าง คือหมายกว้าง คือหมายถึงการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่การยังชีวิตให้เป็นไป การคลองชีวิตการใช้ชีวิตการเคลื่อนไหวของชีวิตทุกแง่ทุกด้านทุกระดับ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ การปฏิบัติกรรมฐานเจริญสมาธิ บำเพ็ญสมถะ เจริญวิปัสสนา ก็รวมอยู่ในคำว่าจริยธรรม
จากแนวความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางจริยธรรมสรุปได้ว่า จริยธรรมเป็นคุณสมบัติของความประพฤติที่สังคมมุ่งหวังให้สมาชิกในสังคมประพฤติปฏิบัติ ซึ่งได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่บ้าน โรงเรียน เพื่อนฝูง และสังคม จริยธรรมย่อมแบ่งออกได้เป็นด้านความรู้ด้านเจตคติ ด้านการใช้เหตุผลในการเลือกปฏิบัติ และด้านพฤติกรรมและแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการทางจริยธรรมมี 2 แนวความคิดคือ พัฒนาการทางสติปัญญาถือว่าจริยธรรมมีพื้นฐานจากการให้เหตุผลทางจริยธรรม และโครงสร้างทางสติปัญญา และต้องอาศัยประสบการณ์และ สิ่งเร้าจากสังคม ผู้ที่มีแนวคิดนี้ ได้แก่ Piaget และ Kohlberg ส่วนอีกแนวคิดอีกแนวหนึ่งเป็น แนวคิดการเรียนรู้ทางสังคมเชื่อว่าจริยธรรมเป็นผลมาจากความเจริญของพฤติกรรมและอารมณ์ที่เป็นไปตามกฎของจริยธรรม และการพัฒนาจริยธรรมจะต้องอาศัยพื้นฐานทางจิตวิทยาได้แก่ การจูงใจ และพัฒนาการทางจริยธรรมยังสัมพันธ์กับวัฒนธรรม และจะต้องมีแบบอย่างให้ดู มีการลงโทษเมื่อทำผิด และให้รางวัลเมื่อทำดี ผู้ที่มีความเชื่อนี้ ได้แก่ Bronfenbrenner
เฮ้ยๆๆ! ครูขว้างโทรศัพย์นักเรียน55555555555
หลักการที่สำคัญสำหรับครู Mamchak and Mamchak (1981)ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างครูและนักเรียนการสร้างบรรยากาศในห้องเรียน
- ไม่รื้อฟื้นปัญหาที่เคยเกิดขึ้น
- ให้ความยุติธรรมแก่เด็ก อย่างเท่าเทียมกัน
- ตั้งเป้าหมายที่นักเรียนสามารถทำได้
- ครูควรบอกถึงข้อจำกัดของตน
- ครูควรทราบข้อจำกัดของเด็กแต่ละคน
- ครูควรใส่ใจเด็กทุกคน
เมือเช้าเอาโทรศัพย์ไปให้พ่อผมที่พาเด็กไปแข่งทักษะที่ รร.เมืองร้อยเอ็ด เจอพรรคพวกเรา ป.บัณฑิตหลายคน แต่ได้เจอเหตุการณือย่างหนึ่งคือครูไล่ต้อนเด็กเหมือน..มูเหมือน..มา ใช้ถ้อยคำที่ไม่ดีเลยแค่เด็กไปซื้อขนมครูคงกลัวว่าจะเข้าแข่งขันไม่ทันไม่รู้แข่งทักษะครูหรือนักเรียนกันแน่ พอขับรถออกมาผ่านร้านลาบหน้าร้านมีแต่รถประจำ รร. ทั้งนั้นทั้งที่พอรู้จักและไม่รู้จักครูนั่งกินข้าวกันเพียบกินข้าวไม่ว่าแถมด้วยกินเหล้าด้วยมองไปน่าจะกินเหล้ากันทุกโต๊ะ (เวลา10.20 น.)เวลาราชการแท้ๆ แล้วบอกว่าเงินเดือนน้อยพอเขาขึ้นให้แล้วยังทำตัวกันแบบนี้อีก ไอ้รัฐบาลก็หลับหูหลับตาขึ้นให้เพราะครูฐานเสียงเยอะอีกอย่างที่เราคุยกันเรื่องe-leraning) ขนาดเวลาสอนแบบปกติยังเป็นแบบนี้เลยถ้าสอนแบบe-leraning จริงๆ ผู้เรียนคงได้ข้อมูลจากร้านลาบแน่ๆ ผมว่าเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องจิตวิทยากันเลยครับ เราน่าจะพูดกันเรื่องจริยธรรมความเป็นครูกันก่อนครับ
อันนี้ผมว่าคงไม่เกี่ยวกับการใช้จิตวิทยาคงเป็นเรื่องของการบริโภคมากในสังคมของคนบางกลุ่มก็เงินเขานี้ควรทำสังคมให้น่าอยู่ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแยกเป็นกลุ่มๆ คนเรามีหลายทัศนะคติคิดได้ทำไม่ได้ก็มีครับเพราะสภาพแวดล้อมในสังคมก็มีส่วนมากๆจิตวิทยาการเรียนการสอนและความเป็นครู ความหมายคือ “จิตวิทยา”เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตโดยศึกษาว่าสิ่งเหล่านี้ได้อิทธิพลอย่างไรจากสภาวะทางร่างกายสภาพจิตใจและสิ่งแวดล้อมภายนอก แนวทางในการศึกษาศึกษาและสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบในห้องทดลองการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพประเมินทางการศึกษา จิตวิทยากับการเรียนการสอน จิตวิทยาการเรียนการสอนเป็นศาสตร์อันมุ่งศึกษาการเรียนรู้และพฤติกรรมของผู้เรียนในสถานการณ์การเรียนการสอนพร้อมทั้งหาวิธีที่ดีที่สุดในการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างสอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียนความรู้ที่อยู่ในขอบข่ายการเรียนการสอน
1. ความรู้เรื่องพัฒนาการมนุษย์
2. หลักการของการเรียนรู้และการสอนประกอบด้วย
ทฤษฎีการเรียนรู้และการเรียนรู้ชนิดต่างๆ
3. ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีผลต่อการเรียน
4. การนำเอาหลักการและวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในการ
แก้ปัญหาการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมายของการนำจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน
ประการแรก
มุุ่งพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ในสถานการณ์การเรียนการสอน
ประการที่สอง
นำเอาองค์ความรู้ข้างต้นมาสร้างรูปแบบเชิงปฏิบัติเพื่อครูและ
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน
หลักการสำคัญ
1. มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน
2. มีความสามารถในการประยุกต์หลักการจิตวิทยาเพื่อการเรียนการ
สอน
3. มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่
4. มีเจตคติที่ดีต่อผู้เรียน
ครูก็เหมือนกับนักแสดงที่ต้องสวมบทบาทการแสดงทำให้เป็นตัวอย่างที่ดีมีผลต่อสังคมรอบข้างครูก็คือดาราในดวงใจของเด็กที่จะอบรมสั่งสอนเด็กเป็นคนดีพอจบออกไปแล้วก็ประพฤติตนเป็นคนดีในสังคมได้ไม่ยากเมื่อเขาเห็นแบบอย่างที่ดีไม่จะนอกสถานศึกษาหรือในสถานศึกษาเพราะเด็กก็จะพัฒนากลายเป็นผู้ใหญ่แบบอย่างที่เห็นก็จะมีการกระทำตามผู้ที่มีความรู้ควรแนะนำให้ถูกทางจะดีกว่าครับ
ถึงคุณพิพัฒพงษ์ นิลผาย
ข้อแรก มันเกี่ยวตรงๆเลยกับจิตวิทยา ใครอยากเรียนกับครูดุๆบ้างอยากรู้ หรือคุณชอบเรียนกับครูดุๆ ครูต้องเข้าใจเด็กในแต่ละช่วงสิ เด็กประถมมันเกรงครูอยู่แล้วบอกมันดีๆก้อได้ เป็นลูกคุณโดนอย่างนี้คุณชอบรึปล่าว
ถ้าไม่เข้าใจเด็กจะไปสอนเค้าได้ไง
ข้อสอง ใช่จริงอยู่เงินเขาเองที่จ่ายค่าเหล้า แต่มันมาจากภาษีพ่อแม่เด็กทั้งนั้น เวลาก้อเวลาราชการ ถ้าครูเอาเวลาราชการมาทำอย่างนี้แล้วเด็กจะเรียนกับใครจะบอกว่าเรื่องของเขาเงินของเขาไม่ได้
ข้อสาม คุณบอกว่าครูเหมือนนักแสดงแค่คิดก้อผิดแล้วครูต้องมีความจริงใจในการเรียนการสอนสิครับเด็กจะได้มีคุณภาพ จะเอาครูไปเปรียบเทียบกับนักแสดงไม่ได้คิดผิดขนัดเลยไอ้พวกนักแสดงมันพวกลวงโลกหรือคุณอยากให้ครูเป็นพวกลวงโลก
ถึงคุณพิพัฒพงษ์ นิลผาย
ข้อแรก มันเกี่ยวตรงๆเลยกับจิตวิทยา ใครอยากเรียนกับครูดุๆบ้างอยากรู้ หรือคุณชอบเรียนกับครูดุๆ ครูต้องเข้าใจเด็กในแต่ละช่วงสิ เด็กประถมมันเกรงครูอยู่แล้วบอกมันดีๆก้อได้ เป็นลูกคุณโดนอย่างนี้คุณชอบรึปล่าว
ถ้าไม่เข้าใจเด็กจะไปสอนเค้าได้ไง
ข้อสอง ใช่จริงอยู่เงินเขาเองที่จ่ายค่าเหล้า แต่มันมาจากภาษีพ่อแม่เด็กทั้งนั้น เวลาก้อเวลาราชการ ถ้าครูเอาเวลาราชการมาทำอย่างนี้แล้วเด็กจะเรียนกับใครจะบอกว่าเรื่องของเขาเงินของเขาไม่ได้
ข้อสาม คุณบอกว่าครูเหมือนนักแสดงแค่คิดก้อผิดแล้วครูต้องมีความจริงใจในการเรียนการสอนสิครับเด็กจะได้มีคุณภาพ จะเอาครูไปเปรียบเทียบกับนักแสดงไม่ได้คิดผิดขนัดเลยไอ้พวกนักแสดงมันพวกลวงโลกหรือคุณอยากให้ครูเป็นพวกลวงโลก
อันนี้ความคิดผมนะ ผิดถูกยังไงเพื่อนๆ ก็โต้แย้งได้ครับการแสดงความคิดเห็นกันในนี้ไม่มีใครผิดถูกนะครับแล้วแต่มุมมองและประสบการณ์ ยิ่งมีความคิดเห็นโต้แย้งเราด้วยจะได้ช่วยพัฒนาความคิดและมุมมองของเราให้กว้างขึ้นด้วยเพราะทุกคนก็เหมือนกบในกะลาล่ะครับรวมทั้งผมเองด้วย ส่วนมากเรามักจะคิดว่าสิ่งที่เราเจอมาประสบมาและอาจารย์คนที่เราคิดว่าดีนั่นคือความจริงแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครที่ถูกทุกอย่างหรอกครับ ผมเองก็อยู่กับคอมพ์พิวเตอร์มาตั้งแต่อายุ 17 จนตอนนี้ 34 แล้วคิดว่าตัวเองรู้หมดทุกอย่าง แต่บางทีเราก็ต้องยอมเด็กอายุแค่ 14 15 ที่เขาอาจจะเจอประสปการณ์บางอย่างที่ในชีวิตเราไม่เคยเจอมาก็ได้ จิตวิทยา มาจากคำว่า จิตตะ บวกกับ วิทยะ จิตวิทยา ก็คือศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับจิตคือความคิด อาจจะรวมถึงพฤติกรรมบางส่วนด้วย สำหรับวิชาจิตวิทยาการศึกษาก็คือการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและความคิดของบุคคล เพื่อนำมาประยุกต์และปรับใช้ในเรียนและการสอน เพราะแต่ละบุคคลไม่เหมือนกันทั้งพื้นฐานความรู้ประสปการณ์ในครอบครัว มุมมองเกี่ยวกับบุคคลและสิ่งแวดล้อม อันนี้รวมทั้งตัวครูเองและนักเรียนด้วย ดังนั้นเราจะทำยังไงให้เราสามารถที่จะสอนนักเรียนในแต่ละห้องที่มีความแตกต่างกันได้ โดยไม่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกแตกแยกและสามารถข้ามฝั่งไปได้ (เพราะครูเปรียบเสมือนเรือจ้างที่จะต้องพาเด็กข้ามฝั่งไปให้ได้)
ต่อ พี่แมนนะครับ
นี่ไงละครับพี่แมนที่ผมเคยบอกไปว่าเราไม่ควร
ก๊อปปี้มาจากเนตแล้วนำมาโพส มันต้องอย่างนี้คือเราศึกษามาแล้วกลั่นกรองมาพูดคุยกัน โต้แย้งกันแต่ไม่ได้ขัดแย้ง ได้ข้อมูลของคนอื่นๆ แล้วนำกลับไปคิดทบทวน อาจมีการยกข้อความมาอ้าวอิงเป็นบางช่วงได้ไม่น่าเกลียดอะไร เราจะได้เห็นมุมมองของคนอื่นๆ
หากเพื่อนๆไปก๊อปปี้มาใส่อย่างเดียวมันเหมือนเรานั่งอ่านหนังสือนะครับมันน่าเบื่อพี่ว่าไง หรืออาจจะเป็นสาเหตุของการที่เพื่อนๆเราอีกหลายคนไม่อยากเข้ามาโพสด้วยก้อได้นะครับ(ความคิดส่วนตัวนะครับ)
ผมว่า ไม้อ่อนดัดยังไงก็ดัดง่ายไม้แก่ดัดยังไงก็มีแต่จะหักประสบการณ์เคยทำว่าวครับควรมองตรงต้นเหตุจะดีกว่าคุณคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่ากล่าวตักเตือนกับภาษาท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมองค์กรที่สามารถสื่อได้ตรงกัน
อนาคตผมก็ไม่ยากว่ากล่าวเด็กมากผมก็เคยเจอจากประสบการณ์ในวัยเด็กมาบ้างดังสุภาษิตรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี
เรื่องส่วนตัวผมไม่ขอยุ่งเพราะทุกคนต้องกินต้องใช้โดยทุกคนมีศักยภาพเท่าเทียมกันไม่ว่าหูหนวกตาบอด
คงเป็นนิสัยของแต่ละบุคคลไม่ก็คงพฤติกรรมส่วนบุคคลหรือพฤติกรรมกลุ่ม นานาจิตตังครับ
ครูก็มีบทบาทหน้าที่ในการสอนจึงต้องสวมหัวโขนรับภาระในการปฏิบัตการสอนจะสอนศิษย์อย่างไรเก่งดีมีความรู้ครูก็เป็นเหมือนดังดาราในใจของศิษย์ถ้าครูเป็นดังภาพลักษณ์ในสังคมที่ศิษย์เอาเป็นแบบอย่างจะเคารพนับถือและคอยแนะนำให้คำปรึกษาคุณคิดว่าจะเลือกทำอย่างไรเมื่อถอดหัวโขน
ก.วันนี้วันศุกร์เลิกงานแล้วไปหาที่เที่ยวกันไหมเพื่อนสาว
ข.ไม่ไหวเหนื่อยวันนี้ขอตัวกลับบ้านไปพักผ่อนวันอาทิตย์ค่อยเจอกัน
ค.สบม จัดเต็ม
ง.ไม่มีคำตอบ
ถึง คุณพิพัฒน์พงษ์ ผมก็เคยทำว่าวเขาก็ใช้แต่ไม้ไผ่กันทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นมีใครใช้ไม้สักทำหรอก คุณบอกว่าผมเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำตักเตือนหรือภาษาท้องถิ่นหรือความสัมพันธ์ในองค์กรครั้งก่อนนี้ ผมพูดให้ฟังว่า ผมไปเจอครูใช้ภาษาไม่สุภาพ หยาบคายกับเด็กนักเรียนแล้วก็พูดภาษากลางด้วย ผมขอยกตัวอย่างมีครูคนใต้มาสอนที่อีสาน เขาโมโหเด็ก เขาเลยพูดออกไปว่า หัวดอ ถ้าเป็นภาษาอีสาน ก็คือ หัวค..ย คุณคิดว่ามันสุภาพไหม คุณบอกว่ามีสุภาษิต รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีถูกต้องเหมือนที่คุณพูด แต่เราจะนำไปใช้อย่างไร หากเราดุด่าลูก หรือนักเรียนที่เราสอนด้วยคำไม่สุภาพคุณคิดว่ามันเหมาสมหรือไม่
อีกเรื่อง คุณบอกว่าคุณไม่ขอยุ่งเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว น่าจะเป็นเรื่องที่ผมพูดถึงครูเอาเวลาราชการไปกินเหล้าอย่างนี้คุณคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวหรือ ประชาชนเขาจ้างมาสอนลูกเขา ตั้งแต่ 08.00น. - 16.00น. มันเป็นเวลาราชการถ้าเป็นบริษัทเอกชน เขาไล่ออกไปแล้ว ถ้านอกเวลาราชการผมไม่ได้ว่าเขาเลย เขาจะไปขึ้นช้างลงม้าที่ไหนก็ช่าง เรื่องของเขาแต่อย่าเอาเวลาราชการไปใช้ในทางอย่างนั้น
อีกเรื่อง เอาอีกแล้วคุณเอาครูไปเปรียบเทียบกับดาราอีกแล้ว พวกดารามันพวกลวงโลก เอาไปเปรียบไม่ได้มันคนละชั้นกับอาชีพครู คุณบอกว่าครูต้องสวมหัวโขนคุณคิดผิดขนัด เมื่อไรที่ครูต้องสวมหัวโขนผมว่ามันเป็นความวิบัติแน่นอน ครูต้องมีความจริงใจ ตั้งใจในการสอนให้ความรู้กับเด็ก ไม่ใช่ว่าอยากเป็นครูเพราะพ่อแม่ครู หรือไม่มีงานอย่างอื่นทำ คนที่เป็นครู จะต้องมีความดีในทุกด้านไม่ว่ากิริยา ภาษาการพูดจา การใช้ชีวิตประจำวันที่ดีถึงจะเป็นครูที่ดีได้
คิดตามชีวิตจริง ด้วยนะครับ คุณ พิพัฒน์พงษ์
เรื่องการสอนนักเรียน ผมทำการสอนโดยให้นักเรียน คิดเป็น โดยตองให้จัดจุดใน ทฤษฏี และให้คิดเป็น ในการคำนวณ และการนำไปใช้ ครับ
ดังนั้น ผมคิดว่าไม้แก่ หรือไม้อ่อน ไม่สำคัญ เพราะเราคือ ครู
แสดง ว่า คุณพิพัฒน์พงษ์ ไม่สามารถ ควบคุมเด็ก นักเรียนไม่ได้ใช้ไหมครับ
ผมก็ว่างั้นแหละพอพูดยังไงก็ได้ครับแล้วผมลองมาทำกลับทำไม่ได้อย่างที่พูดผมผิดเองค่าของคนหรือผลของงานผมทำผิดอะไรผมยอมรับผิดผิดแล้วรู้จักแก้ไข
ผมเข้าใจว่าคนรักเราก็มีคนชอบเราก็มีผมคงตามใจเด็กๆมากเกินไปเพราะผมรักเด็กไม่ยากพูดทำที่รุ่นแรงบางทีเด็กไม่ชอบผมก็มีได้แต่บอกกล่าวตักเตือนในทางที่ถูกที่ควรอันนี้ก็ขึ้นกับสภาพแวดล้อมของตัวเด็กด้วยและสถานะภาพทางครอบครัวก็มีส่วนทำให้เด็กเสียคนได้
เห็นแสดงความคิดเห็นกันนะครับ ก็เลยลองแสดงบ้างคนเราไม่เหมือนกันครับ ทั้งนักเรียนและตัวครูเองด้วย ยกอย่างโอ๋เป็นคนที่ดุดัน น้องต้าก็เป็นคนเรียบร้อยขี้เกรงใจ พี่เองก็เป็นคนชอบสนุกไม่ชอบซีเรียส แต่ว่าตอนนี้เราไปเป็นครูนะครับ หน้าที่เราคือทำยังใงให้ได้พวกลูกศิษย์ของเรามันผ่าน ต่างคนก็ต่างวิธี อาจจะมีบ้างที่ทำตัวให้เขารู้สึกว่าเป็นกันเองไม่กลัวเรา แต่เราก็ต้องทำให้เขาเกรงใจเราด้วย ยกตัวอย่างของพี่นะครับ (ไม่ใช่ว่าพี่จะทำดีทำถูกอะไรมากมายนะ แต่ พวกเด็กม.ปลาย ที่มัน เกเรมากๆ เทอมแรกไม่เข้าเลย มันก็ยอมกลับมา)แต่ละห้องจะมีเวลามาใช้ห้องคอมพ์/อินเตอร์เน็ต สัปดาห์ละครั้ง พี่ก็ตั้งกฎเลยว่า ชั่วโมงแรกพวกคุณต้องนั่งฟังที่พี่สอนแล้วทำงานตามใบงานแต่ละโปรแกรมให้เสร็จ เพราะวิชานี้ไม่มีสอบกลางภาค/ปลายภาค จะมีคะแนนเข้าเรียน กับคะแนนงานอย่างเดียว ถ้าคุณทำให้เสร็จชั่วโมงที่สอง คุณจะใช้งานอินเตอร์เน็ตยังไงก็ได้ ตามใจคุณยกเว้นเข้าเวปโป๊ แล้วผมจะไม่มีการตรวจงานย้อนหลังด้วย แค่คุณเข้ามาเรียนทุกคาบ/สัปดาห์ แล้วส่งงานตามที่ผมบอก ถูกผิดไม่ต้องห่วงผมดูแค่ความตั้งใจ แค่นั้นคุณก็ได้เกรด 3 กับ 4 แล้ว นี่เป็นการยกตัวอย่างนะ มันต้องมีทั้งพระเดชพระคุณ เข้มมากไปมันก็กลัวแล้วก็เกร็ง ใจดีมากไปมันก็จะเหยียบหัวเรา ไม่เกรงใจ นี่เป็นความคิดเห็นของพี่นะครับ ผิดถูกโต้แย้งได้ครับ เพราะไม่ใครในโลกนี้ที่คิดถูกและทำถูกทุกอย่าง
ครู คือ วิศวกรทางสังคม
สังคมยังขาดวิศวกรอีกจำนวนมาก
สายลมหนาวพัดเข้ามาอีกรอบ เมื่อเข้าเดือนธันวาคมของทุกปี ในระหว่างทางกลับบ้านหลังเลิกเรียน ภาคค่ำ สองทุ่ม กว่าๆ ตามถนนสาย ร้อยเอ็ด-โพนทอง กว่าจะถึง ในตัวเมืองร้อยเอ็ดก็ 4-5 กิโลเมตร แต่ไม่เป็นอุปสรรคืเท่าไรสำหรับคนที่ชอบเรียน เพื่ออัพเดดความรู้ของดนเอง ซื้งซักวันหนึ่งทุกคนหวังว่า จะได้สอบบรรจุ ตามความมุ่งหวัง แต่ระหว่างทางที่เราเดินร่วมกัน อาจจะมีบางคนเหนื่อย ท้อและหมดหวัง ก็ขอให้อดทน นะครับ ครูบ้านทุ่ง ก็เป็นคนหนึ่งที่มีอาการเเบบนี้เช่นกัน ซึ่งบางวันก็กลับจากโรงเรียนค่ำกว่าจะถึงห้องเรียนก็ดึก แต่ก็โชคดีมาก ที่อาจารย์เข้าใจและให้โอกาศนักศึกษาทุกคน เพราะเด็กนักเรียนที่ทำการปฏิบัติการสอนนั้น บางคนก็ดื้อซึ่งเป็นธรรมดาของเด็ก หน้าที่ครูก็คือ ทำให้เด็กดื้อเป็นเด็กดี ซึ่งครูส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถปรับพฤติกรรมของนักเรียนได้นั้นก็เพราะพวกเขาไม่มีความอดทนพอ ซึ่งในการปรับพฤติกรรมนักเรียนนั้น ต้องนำทฤษฎีต่างๆ ที่อาจารย์จันทร์เพ็ญสอนมาเป็นเเนวทาง เช่น หลักการวางเงื่อนไข ของ ฟลาบ ล๊อค ทฤษฎีการเสริมแรง ของ สกินเนอร์
ซึ่งเด็กนั้นต้องการการยอมรับจากครู ซึ่งผมนำทฤษฎีเหล่านี้มาใช้แล้วก็ได้ผล ท้ายสุด ขอคุณอำนาจเจ้าพ่อ มเหสักดิ์หลักเมืองร้อยเอ็ด จงปกป้องคุ้มครอง นักศึกษา วิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ให้สำเร็จการศึกษา ทุกคนทุกท่านเถิด สาธุ
(ครูบ้านทุ่ง) ฝากมา
ทำดีได้ไม่ยากจงมีหัวใจรักและศรัธาในหน้าที่การงานมีคุณธรรมจริยธรรมไม่ผิดศีลธรรมของสังคมส่งความรักให้กับวันวาเลนไททำหน้าที่สอนเด็กพร้อมมอบความรักของฝากเอาไว้ก่อนปิดเทอมใหญ่อยู่ให้เขารักจากให้เขาคิดถึง
รักน่ะจุ๊บุจุ๊บุ สมพานไม่กินไก่วัดรักแบบพ่อแม่รักลูก
แสดงความคิดเห็น