| พัฒนาการอุดมศึกษาให้รองรับ E-learning Tertiary Education should be development to support E-learning  | 
จากกระแสตอบรับการขยายตัวของระบบการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-learning ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสและความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งพยายามจัดหลักสูตร e-learning เอง หรือสร้างเครือข่ายร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศหรือกับหน่วยงานอื่น เช่น มหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย (Thailand Cyber Uniniversity: TCU) ซึ่งเป็นความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ  โดยจะเริ่มเปิดสอนเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศกระทรวงเรื่อง “หลักเกณฑ์การขอเปิดและดำเนินการหลักสูตรระดับปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล พ.ศ. 2548” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2548 เป็นต้นมา เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาแบบ e-learning ให้ได้คุณภาพและมาตรฐานมากขึ้น หากแต่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลไม่ควรละเลยคือ การพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของการจัดการศึกษาแบบ E-learning โดยอาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเป็นช่องทางขยายโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงการอุดมศึกษามากขึ้นไม่ว่าจะเป็น การสร้างซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา คือ การสร้างโปรแกรมเพื่อทำให้เกิดการถ่ายทอดข้อมูลไปยังผู้เรียนกลุ่มต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสและช่องทางการเรียนรู้ให้กลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ซอฟต์แวร์แปลภาษา หรือ ซอฟต์แวร์เพื่อกลุ่มคนพิการ เป็นต้น การสร้างโมดูลทางการศึกษา คือการให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนวิชาข้ามมหาวิทยาลัยที่ตนสนใจได้ เช่น สามารถเลือกเรียนวิชาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และเลือกเรียนวิชาการตัดแต่งพันธุกรรมจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาจูเซต (MIT) ไปพร้อมกัน การเลือกวิชาเรียนตามความต้องการของผู้เรียนนี้ ทำได้โดยการสร้างโปรแกรมจัดวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนวิชาที่เหมาะสมสอดคล้องตามความต้องการและความสนใจของตน อีกทั้งยังทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบสหวิทยาการจากการบูรณาการวิชาที่เด่นของหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งไปพร้อมกันได้ การพัฒนาการวิจัยทางการศึกษา โดยใช้ระบบสารสนเทศสร้างระบบการจัดการข้อมูลที่ทำหน้าที่รวบรวมองค์ความรู้ด้านการเรียนการสอนในรูปแบบต่าง ๆ จากทั่วประเทศและโลกไว้ โดยมีช่องทางแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชา การความคิดเห็น รวมถึงการขยายความร่วมมือทางวิชาการไปทั่วโลก ผ่านเว็บไซต์ หรือไอคอนถามตอบ ทำให้เกิด ปฎิสัมพันธ์ระหว่างฐานข้อมูลและผู้ใช้ที่สะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ เพื่อนำทักษะเหล่านั้นไปใช้ในสภาพจริง เช่น การสร้างห้องเรียน/ห้องทดลองเสมือนจริง การสร้างภาพเคลื่อนไหวเสมือนจริง เพื่อให้ผู้เรียนทดลองทำโดยไม่ต้องลองสนามจริง โดยเป็นการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาแทนในสภาพแวดล้อมที่มีอันตรายและความเสี่ยงสูง และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติจริง นอกจากนี้รัฐบาลเองควรให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับการศึกษาในปัจจุบันและอนาคต โดยเตรียมความพร้อมของบุคลากรในแวดวงการศึกษาต่าง ๆ ที่จะรับมือกับผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างผู้มีแต้มต่อ และใช้ในขอบเขตที่เอื้อต่อการพัฒนาการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ซึ่งเรื่องนี้มีนักวิชาการและผู้รู้หลายท่านได้แสดงทัศนะและข้อคิดเห็นไว้หลากหลาย ดังเช่น การประชุมสมัชชาใหญ่สมาคมสมาชิกรัฐสภาระหว่างประเทศด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการด้าน ICT ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกำหนดวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการประชุม เพื่อสร้างความร่วมมือในการยกระดับการนำ ICT ไปใช้และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลสารสนเทศ (Digital Divide) นายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้แสดงทัศนะไว้ในการประชุม การประชุม World Summit on Information Society ที่จัดขึ้นที่ประเทศตูนิส เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 ว่าอยากเห็นการประชุมนำมาซึ่งประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เป็นการสร้างแรงขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและช่วยเหลือประเทศที่ยากจน ตลอดจนการหาแนวทางที่เฉพาะเจาะจง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลสารสนเทศ   รวมถึงการเสนอบทความเรื่องไอทีกับภารกิจด้านการเรียนการสอนในอนาคต โดย ดร.นลินี ทวีสิน ซึ่งทำงานด้านการวางยุทธศาสตร์ การวางแผนและการพัฒนาด้าน e-learning มานาน ได้แสดงให้เห็นว่า ทุกภาคส่วนในสังคมต่างมีความห่วงใยในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลสารสนเทศ เพื่อให้คนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา และเทคโนโลยีและความรู้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น ในการสร้างฐานความรู้โดยอาศัยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งในปัจจุบันนับได้ว่ามีความสำคัญ และมีความจำเป็นต่อวงการศึกษาเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากนโยบายการปฏิรูปการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อให้สถานศึกษาทุกแห่ง ส่งเสริม สนับสนุนเพื่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นกลไกในการจัดการศึกษา เพื่อก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ที่จะตอบสนองให้ผู้เรียนและประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์เพื่อการเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างทั่วถึง มีความเสมอภาคและมีประสิทธิภาพที่เท่าเทียมกัน ที่สำคัญจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่จะนำพาไปสู่การสร้างสังคมการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ปัจจุบันระบบการจัดการศึกษาแบบ e-learning ได้รับการยอมรับว่าเป็นกลไกสำคัญอีกระบบหนึ่งที่มีคุณลักษณะในการสนับสนุน ส่งเสริม ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างอิสระ ช่วยให้เข้าถึงแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ได้อย่างรวดเร็วและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย นอกจากนี้ การจัดการศึกษารูปแบบ e-learning นี้ เป็นการสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก ผู้เรียนสามารถเข้าถึง ควบคุมกระบวนการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง (Self-Directed Learning) กระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ เป็นการเรียน รู้ในลักษณะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered Learning) ด้วยวิธีการที่หลากหลายสนองต่อกลไกการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ และสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานการศึกษาเดียวกัน เรียนรู้ได้ทุกเวลา เข้าถึงสาระเนื้อหาได้ในทุกสถานที่ (anyone-anywhere-anytime learning) โดยใช้กลไกของเทคโนโลยีสารสนเทศในฐานะที่หน่วยงาน สถานศึกษา สังกัด กศน. มีเป้าหมายหลักในการส่งเสริม สนับสนุนการจัดการศึกษาที่ครอบคลุมการจัดศึกษาให้กับ กลุ่มคนที่หลากหลาย แต่ในการใช้ช่องทางทางเทคโนโลยีสารสนเทศ นำมาเป็นช่องทางในการจัด และส่งเสริมการศึกษา อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ดูเหมือนว่ายังทำได้ไม่เต็มที่นัก สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ก็เป็นอีกหน่อยงานหนึ่ง ที่ใช้ ICT เป็นฐาน เป็นช่องทาง การเรียนรู้ การฝึกอบรม มาโดยตลอด ทำให้เห็นว่าหลักสูตร เนื้อหาที่มีอยู่นั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ นอกจากนี้ การใช้งาน การเข้าถึงช่องทาง เส้นทางการศึกษา วิธีนี้ ก็ยังอยู่ในวงจำกัด (อยากให้เข้ามาแสดงความคิดเห็นหัวข้อนี้เพิ่มเติมร่วมกันครับ)  | 
ประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู หมู่ 15 รุ่นที่ 8 มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม (ศูนย์โรงเรียนธีรภาดาเทคโนโลยี) http://roietrmu.blogspot.com
วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553
"หัวข้อสัมมนาออนไลน์วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา หัวข้อที่ 2 การขับเคลื่อนคุณภาพ E-learnning ของระดับอุดมศึกษา"
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)

142 ความคิดเห็น:
การมีปฏิสัมพันธ์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการเรียนการสอนทางไกล ผู้เรียนและผู้สอนต้องมี ปฏิสัมพันธ์ต่อกันโดยตรงและสามารถทำกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันได้โดยการใช้สื่อปฏิสัมพันธ์
การสอนทางไกลที่ดีต้องมีวิธีการปฏิสัมพันธ์ 5 ลักษณะ คือ
1. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
2. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน
3. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใดบุคคลหนึ่งตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
4. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเทคโนโลยี
5. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับเทคโนโลยี
การปฏิสัมพันธ์ทั้ง 5 ลักษณะดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนและคนกับเครี่อง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้สอนจัดให้มีขึ้น ผู้สอนต้องวางแผนไว้ล่วงหน้า จัดเตรียมกิจกรรมไว้เป็นลำดับในแผนการสอน เหมือนที่อาจารย์กำลังสั่งงานนักศึกษาอยู่เดี่ยวนี้ใช้ไหมครับ
ครับ เห็นด้วย กับ สุขทวีครับ
เห็นด้วยกับความเห็นแรกครับจากความคิดผมคิดว่าการศึกษาคือการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการศึกษาทางใดก็แล้วเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์เกี่ยวกับระบบสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศและค่านิยมของผู้บริโภคและการได้รับแรงขับเคลื่อนจากหลายๆฝ่ายไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมวัฒนธรรม ครอบครัว และเศรษฐกิจจึงเป็นการยากที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีได้ถ้ายังขาดการร่วมมือที่ดีทั้งผู้ให้และผู้รับ ครูอาจารย์เป็นผู้ที่มีบทบาทที่สำคัญที่จะเป็นแรงพลักดันให้เกิดสิ่งเหล่านี้เพราะในโลกแห่งเทคโนโลยีข่าวสารมีการพัฒนาอยู่ตลอดซึ่งจำเป็นที่ผู้ที่ทำหน้าที่ในการสอนต้องพัฒนาความรู้เหล่านี้ตามไปด้วยเพื่อปรับให้ทันยุคสมัยแห่งการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาครับ
สำหรับเรื่องที่เราคุยกันเกี่ยวกับ การขับเคลื่อน e-learning ที่เกี่ยวกับระดับอุดมศึกษา ส่วนตัวผมนะ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบระบบนี้ คุณมีคอมพ์พิวเตอร์ที่บ้านมีอินเตอร์เน็ตถึงเวลาคุณก็ทำงานส่งทำข้อสอบ ข้อดีก็คือคุณสามารถใช้เวลาที่คุณว่างจากการที่คุณไม่ได้เรียนไปทำอย่างอื่นได้ขอแค่คุณทำได้ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาที่คุณทำเรื่องไว้แค่นั้นล่ะ ที่เหลือก็คือความรับผิชอบของแต่ละบุคคลเอง คล้ายๆกับระบบโฮมสคูล เอ้ากลับมาพูดเรื่งหัวข้อดีกว่า การผลักดันเรื่อง e-learning ของอุดมศึกษา มุมมองผมนะผมว่ามันก็ดีในระดับหนึง ยกตัวอย่างปีหนึ่งเด็กไทยเราไปประกวดพวกคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โอลิมปิก และอื่นๆ ได้มาทุกปี แสดงว่า คนไทยเรามีศักยภาพไม่แพ้ชาติอื่นใดในโลก แต่ปัญหาคือ ภาครัฐจะสนับสนุนเราแค่ไหน
เห็นด้วยกับ คุณสุขทวี ครับ
ปรัชญา
เทคโนโลยีก้าวไกล ศึกษาได้ไม่จำกัด สร้างสรรค์โลกทัศน์ พัฒนาสู่สากล
เพื่อจัดการศึกษาในระบบการศึกษาทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต ดำเนินไปอย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพสอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยราม คำแหง และแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยรามคำแหง สอดคล้องกับปรัชญาสถาบันอุดมศึกษา และสัมพันธ์กับมาตรฐานทางวิชาการ และวิชาชีพของสาขาวิชาต่างๆ เพื่อให้สามารถผลิตบัณฑิตที่มีความรอบรู้
เห็นด้วยกับความเห็นแรกครับมีสาระดีผมชอบ เพราะการศึกษาไม่มีอะไรมากั้นได้จะไกล้หรือไกลก็เรียนได้หมด
สำหรับข้อ 2....นี้ผมคิดว่าในการเรียนที่นำระบบe-learning เข้ามาใช้จะทำให้นักศึกษาไม่เบื่อในการเรียนเพราะจะทำให้ผู้เรียนสนุกสนานมากกว่าเดิมครับ
ชอบมากเลยกับระบบการเรียน e-learning เพราะผู้เรียนสามารถเข้าถึง ควบคุมกระบวนการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง กระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ ด้วยวิธีการที่หลากหลายสนองต่อกลไกการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ และสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานการศึกษาเดียวกัน เรียนรู้ได้ทุกเวลา เข้าถึงสาระเนื้อหาได้ในทุกสถานที่
ข้อที่ควรคำนึงถึงของ e-Learning
1. ความสำคัญของ e-Learning อยู่ที่การออกแบบ ดัง นั้นแม้ว่าเนื้อหา วิธีการ ที่มีอยู่จะส่งผ่านระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างไรก็ตาม แต่ถ้ารูปแบบไม่น่าสนใจ ไม่สามารถดึงความสนใจของผู้เรียนไว้ได้ ก็ทำให้ผู้เรียนไม่อยากเรียน ก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในการศึกษาหาความรู้ การนำ e-Learning ไปใช้ นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้วยังทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายและเสียเวลาอีกด้วย
2. การใช้ e-Learning ต้อง มีการลงทุนในเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่พร้อมด้วยอุปกรณ์มัลติมีเดีย และประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ต้องเข้ากันได้ดี และต้องคำนึงถึงการเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อการติดต่อสื่อสารทั้งระหว่างผู้เรียน ผู้สอนอีกด้วย
การเรียน การอบรมสัมมนาแบบ e-learning ออ นไลน์ให้ประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญก็คือ การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากกันและกัน และที่สำคัญอีกประการคือ ผู้สอนเองจะต้องมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบทันควันให้กับผู้เรียน เพื่อทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือถูกทอดทิ้ง และจะต้องพยายามสร้างบรรยากาศให้เกิดการแสดงความคิดเห็น แต่อย่างไรก็ตามผู้เรียนจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเอง มีวินัยและมีการวางแผนระบบการเรียนให้เหมาะสมกับรูปแบบชีวิตของตนเอง จึงทำให้ e-learning เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ครับชอบมากเลยครับ
เห็นด้วยกับทุกคนที่กล่าวมา
นาย ศักรินทร์ ศรีประไหม
53721014222
เห็นด้วยครับ
ารเรียน การอบรมสัมมนาแบบ e-learning ออ นไลน์ให้ประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญก็คือ การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากกันและกัน และที่สำคัญอีกประการคือ ผู้สอนเองจะต้องมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบทันควันให้กับผู้เรียน เพื่อทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือถูกทอดทิ้ง
นาย อนุชิต วงค์ภูดร
224
เห็นด้วยครับ
การเรียน การอบรมสัมมนาแบบ e-learning ออ นไลน์ให้ประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญก็คือ การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากกันและกัน และที่สำคัญอีกประการคือ ผู้สอนเองจะต้องมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบทันควันให้กับผู้เรียน เพื่อทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือถูกทอดทิ้ง
นาย อนุชิต วงค์ภูดร
224
เห็นด้วยกับเพื่อนๆที่กล่าวมาค่ะ e-Learning มีดีเยอะจริงๆ ฝากข้อดีของ e-Learning ถึงเพื่อนๆคนอื่นๆเอาไว้ศึกษาด้วยนะค่ะ
1. e-Learning ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะการถ่ายทอดเนื้อหาผ่านมัลติมีเดียที่ได้รับการออกแบบและผลิตอย่างมีระบบจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการเรียนจากสื่อข้อความเพียงอย่างเดียว
2. e-Learning ช่วยให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนได้อย่างละเอียดและตลอดเวลา
3. e-Learning ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนรู้ของตนเองได้ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลใดก่อนหรือหลังก็ได้ ตามพื้นฐานความรู้ ความถนัด และความสนใจของตน ทำให้ได้รับความรู้และมีการจดจำที่ดีขึ้น
4. e-Learning ช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน และกับเพื่อน ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ มากมาย
5. e-Learning เป็นการเรียนที่ผู้เรียนแต่ละคน จะได้รับเนื้อหาของบทเรียนเหมือนเดิมทุกครั้ง
6. e-Learning ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ รวมทั้งเนื้อหามีความทันสมัย และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบันได้อย่างทันที
7. e-Learning ทำให้เกิดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียนในวงกว้างขึ้น เป็นการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เห็นด้วยครับ
e-Learning – ทำให้ผู้สอนตรวจสอบดูความก้าวหน้าของผู้เรียนได้ และยังช่วยให้เกิดทักษะการเรียนรู้แบบใหม่ๆ ของผู้เรียน ได้ทั้งความรู้และฝึกให้ผู้เรียนเป็นนักค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเอง และให้ผู้เรียนได้จดจำข้อมูลที่ได้ค้นคว้ามา
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นกลไกในการจัดการศึกษา เพื่อก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ที่จะตอบสนองให้ผู้เรียนและประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์เพื่อการเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างทั่วถึง
การนำประโยชน์ของอินเทอร์เน์ตในใช้ในการพัฒนาบทเรียน จึงเป็นการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนที่ประยุกต์คุณลักษณะของอินเทอร์เน็ต โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ในเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) มาเป็นสื่อกลางเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิง เอกสารประกอบการเรียน บทเรียนสำเร็จรูป หรือแม้กระทั่งหลักสูตรวิชา เนื่องจากเวิลด์ไวด์เว็บเป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตที่มีแหล่งข้อมูลอยู่มากมายและหลายรูปแบบ ทั้งตัวอักษร ภาพนิ่ง การเคลื่อนไหวหรือเสียง โดยอาศัยคุณลักษณะของการเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink) ทั้งในรูปแบบของข้อความหลายมิติ (Hypertext) หรือสื่อหลายมิติ (Hypermedia) เพื่อเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน เป็นการนำประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการค้นคว้าข้อมูลในการเรียนรู้ด้วยตนเองและสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก นั่นคือมิใช่การสอนที่เป็นการถ่ายทอดความรู้จากครูผู้สอนเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลายและเกิดขึ้นได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา โดยใช้เทคโนโลยีและสื่อสารสารสนเทศต่างๆให้เป็นประโยชน์ ซึ่งสื่อต่างๆเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ ทั้งนี้เพราะข้อมูลบนเว็บมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) ทำให้เนื้อหาการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าแบบเดิม และเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญและเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้ทันสมัยได้อย่างสะดวกสบาย
ณัฐนนท์ วิเศษโวหาร
ทุกคนต้องใช้ระบบพวกนี้อยู่ในชีวิตประจำวันแทบทุกวันใครเห็นด้วยกับผมบ้าง
สำหรับประเทศไทยนั้น มีหลายมหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรการเรียนแบบออนไลน์แล้ว ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตรทางด้านศิลปศาสตร์ ซึ่งก็ทำให้มหาวิทยาลัยได้ใช้ศักยภาพของตนเองที่มีอยู่อย่างเต็มที่มากขึ้น โดยเฉพาะศักยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต่างก็ทุ่มงบประมาณลงไปอย่างมหาศาลเพื่อการวางโครงการพื้นฐานทางด้านไอที และรอการพัฒนาการให้บริการด้านต่างๆ อย่างเต็มศักยภาพ
โดยล่าสุดมหาวิทยาลัยรังสิต ตัดสินใจเปิด 3 หลักสูตรปริญญาโทผ่านระบบการศึกษาทางไกลอินเทอร์น็ต ได้แก่ หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาผู้นำสังคม ธุรกิจ และการเมือง หลักสูตรศึกษาศาตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ และหลักสูตรนิติสาสตร์บัณทิตระบบการศึกษาทางไกลอินเทอร์เน็ต เป็นปริญญาใบที่สอง หวังขึ้นแท่นก้าวสู่ผู้นำมหาวิทยาลัยไซเบอร์ในอนาคต
มีรายงานด้านงบประมาณพบว่า มหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนในประเทศไทย ได้จัดสรรงบประมาณสำหรับพัฒนาด้านไอที ไว้มากกว่า 10% ของงบประมาณรวมในแต่ละปี หากประเมินสถานการณ์แวดล้อม ก็อาจสรุปได้ว่าถึงเวลาที่มหาวิทยาลัยจะสร้างรายได้จากความสามารถที่มีอยู่ รวมถึงการพัฒนารูปแบบการศึกษาที่อิงกับเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากการอำนวยความสะดวกในด้านการบริการแก่นักศึกษา เช่น ระบบการลงทะเบียน การใช้ห้องสมุด และบัตรนักศึกษา เป็นต้น
ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าว อาจทำให้คาดการณ์ว่าในอนาคตมหาวิทยาลัยทุกแห่ง จะมีหลักสูตรการเรียนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ แบบชั้นเรียนปกติ และแบบชั้นเรียนแบบออนไลน์ เหมือนๆกับที่มีหลักสูตรภาคค่ำดังเช่นทุกวันนี้ นอกเหนือจากระบบการศึกษามาตรฐานแล้ว รูปแบบของการเเรียนออนไลน์ ยังได้ขยายวงกว้างไปสู่ หลักสูตรการฝึกอบรมพนังงานบริษัท ห้างร้านต่างๆ ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน
เห็นด้วยกับทุกข้อความค่ะ เพราะปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงinternetได้ง่าย การเรียนแบบe-learningจึงทำให้ผู้เรียนมีความสะดวกในการเรียนมากขึ้นเพราะเป็นการเรียนรู้ที่ไม่จำกัดสถานที่ เวลา และง่ายต่อการเรียนรู้
537210141213
อันนี้เพิ่มเติมนะครับ ถ้าใครมีเรื่องของ M-learning ก็คือ mobile learning กับ U-learning อันนี้จำชื่อเต็มไม่ได้ ก็นำมาแนะนำเพื่อนๆ ได้นะครับ
เห็นด้วยกับคุณalisa ค่ะเพราะว่าปัจจุบันเราทุกคนใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์และ Internet ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือโรงเรียน แม้แต่ในสภาวะแวดล้อมใกล้ตัวก็มีสถานที่ให้บริการร้านInternetเยอะมาก จึงทำให้ผู้เรียนสะดวก และง่ายต่อการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา
เพิ่มเติมอีกเรื่องคือ U-Learning (Ubiquitous Learning)คือ การจัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสำเร็จรูป (Instruction Package) ที่นำเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีเครือข่ายทั้งแบบใช้สายและไร้สาย รวมไปถึงพวกอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการประมวลผลแบบไร้ขอบเขต ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา ที่จริงแล้ว น่าจะมาจากคำว่า Ubiquitous e-learning แต่ e- ได้ถูกตัดหายไป เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ซึ่งเกี่ยวพันธ์กับวิธีการเรียนหลากหลายแบบรวมกัน ทั้งแบบดังเดิมและการใช้เทคโนโลยีด้านสารสนเทศด้วย
ลักษณะที่สำคัญ และการนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิ่ง
นับตั้งแต่การคิดค้นอินเตอร์เน็ตและเว็บไซต์ กระบวนการเรียน (Education Process) พัฒนาการในวงการการศึกษาได้พัฒนาควบคู่ไปกับวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเรียนรู้แบบไร้ขอบเขต (Ubiquitous Learning) ในลักษณะทุกที่ ทุกเวลา การเรียนเกิดขึ้นรอบตัวผู้เรียน เพราะข้อมูลสารสนเทศได้รวมไว้ในอุปกรณ์ต่างๆ ขอเพียงผู้เรียนพร้อมที่จะเรียน โดยเรียกความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ว่า เป็นแบบ Many to one relationship (Weiser, 1993) ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบสามัญและเกี่ยวพันธ์กับ Ubiquitous Computing
ข้อดีของ e-Learning
1. e-Learning ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะการถ่ายทอดเนื้อหาผ่านมัลติมีเดียที่ได้รับการออกแบบและผลิตอย่างมีระบบจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการเรียนจากสื่อข้อความเพียงอย่างเดียว
2. e-Learning ช่วยให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนได้อย่างละเอียดและตลอดเวลา
3. e-Learning ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนรู้ของตนเองได้ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลใดก่อนหรือหลังก็ได้ ตามพื้นฐานความรู้ ความถนัด และความสนใจของตน ทำให้ได้รับความรู้และมีการจดจำที่ดีขึ้น
4. e-Learning ช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน และกับเพื่อน ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ มากมาย
5. e-Learning เป็นการเรียนที่ผู้เรียนแต่ละคน จะได้รับเนื้อหาของบทเรียนเหมือนเดิมทุกครั้ง
6. e-Learning ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ รวมทั้งเนื้อหามีความทันสมัย และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบันได้อย่างทันที
7. e-Learning ทำให้เกิดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียนในวงกว้างขึ้น เป็นการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เห็นด้วยค่ะ e-Learning – ทำให้ผู้สอนตรวจสอบดูว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้า และยังช่วยให้เกิดทักษะการเรียนรู้แบบใหม่ๆ ของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ด้วย
เห็นด้วยกับการเรียนแบบ e-learning คือมีประโยชน์มากเป็นการพัฒนาการศึกษาให้มีความกว้างไกลและรวดเร็วเข้ากับสภาวะของโลกในปัจจุบัน
เห็นด้วยกับการเรียนแบบ e-learning คือมีประโยชน์มากเป็นการพัฒนาการศึกษาให้มีความกว้างไกลและรวดเร็วเข้ากับสภาวะของโลกในปัจจุบัน
ภาษิต สองสนิท
เห็นด้วยโลกเราทุกวันนี้มีพัฒนาการในการสื่อสารกันเร็วมากดังนั้นการใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตในทางการศึกษาจะทำให้มีการเรียนรู้อย่างไร้ขอบเขตและพัฒนาความรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ที่เรากำลังสัมมนาออนไลน์กันอยู่ในขณะนี้ก็เสมือนเป็น e-learning ในระดับอุดมศึกษาแบบหนึ่งเหมือนกันครับ ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบเท่าไร ด้วยข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการจัดทำเวบไซต์ของผมและด้วยงบประมาณที่ไม่มีด้วย (จริงๆ ผมอยากไปเช่า server ของเมืองนอกพวกจีนกับไต้หวัน ปีละไม่กี่พัน แต่ก็ไม่อยากรบกวนเพื่อนๆ ในห้อง จะพยายามพัฒนาเวบตัวนี้ให้ดีที่สุดละกัน คิดอะไรออกก็จะเอามาปรับปรุงให้ดีขึ้ันตามข้อจำกัดของ google ที่เขากำหนดไว้) ตอนนี้ที่โรงเรียนหรือสถานศึกษาตามต่างจังหวัดก็เริ่มมีการใช้ระบบ e-learning กันเยอะแล้วนะ เพื่อนผมที่ทำงานที่ทำงานที่ ม.ขอนแก่นก็เคยเปรยๆให้ฟัง ถึงระบบที่เขากำลังพัฒนาอยู่ ถ้ารุ่น ป.บัณฑิต รุ่น 8 ของเราได้เรียนแบบ e-learning บ้างก็คงจะดี
e-learning สะดวกจริง ๆ ค่ะ เพราะสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา สุดยอดจริง ๆ
ปัจจุบันระบบการจัดการศึกษาแบบ e-learning ได้รับการยอมรับว่าเป็นกลไกสำคัญอีกระบบหนึ่งที่มีคุณลักษณะในการสนับสนุน ส่งเสริม ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างอิสระ ช่วยให้เข้าถึงแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ได้อย่างรวดเร็วและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย เป็นการสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก ผู้เรียนสามารถเข้าถึง ควบคุมกระบวนการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง แก้ปัญหาได้อย่างอิสระ เป็นการเรียน รู้ในลักษณะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ถือได้ว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับยุคโลกาภิวัฒน์ดีจริงๆๆค่ะ
แม้ว่าประเด็นเกี่ยวกับคุณประโยชน์และข้อดีของ E-Learning จะมีการศึกษาและยอมรับกันโดยทั่วไปก็ตาม แต่ก็มิใช่ว่าการเรียนในระบบนี้จะปราศจากข้อเสียหรือข้อจำกัดไปเสียเลย ได้มีการศึกษาไว้ว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บนั้น ยังคงมีข้อจำกัดบางประการ อันได้แก่
1. ข้อเสียของรูปแบบมัลติมีเดีย
แม้ว่าเว็บจะสามารถนำเสนอมัลติมีเดียรูปแบบต่าง ๆ ได้มากมาย แต่รูปแบบของสื่อแต่ละชนิดยังเป็นปัญหาอยู่บ้าง การนำเสนอด้วยตัวอักษรทำให้ผู้เรียนสามารถอ่านและพิมพ์ออกมาได้ง่ายในรูปแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ ในขณะที่วิดีโอบนเว็บเคลื่อนไหวช้ากว่าวิดีทัศน์หรือโทรทัศน์ธรรมดา นอกจากนี้ การติดต่อสื่อสาร ณ เวลาจริง ยังไม่สามารถให้ความรู้สึกได้เหมือนของจริง และด้วยข้อจำกัดเรื่อง bandwidth ทำให้การดาวน์โหลดข้อมูลมัลติมีเดียกินเวลานานและน่าเบื่อหน่ายสำหรับผู้เรียน
2. ปัญหาของเส้นทางการเข้าสู่เนื้อหา
แม้ hypertext จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงออกไปสู่เนื้อหาภายนอกต่อไปได้ก็ตาม แต่ถ้าการออกแบบบทเรียนไม่ดีพอแล้ว ผู้เรียนอาจหลงทางและหลงประเด็นไปได้ ทำให้การเรียนมีปัญหาและไม่ได้ผลตามเป้าหมาย
3. การขาดการติดต่อระหว่างบุคคล
ในการเรียนผ่านเว็บ ครูจะไม่มีโอกาสได้เห็นว่านักเรียนเกิดความสงสัยหรือไม่เข้าใจ และนักเรียนบางคนก็มีความพึงพอใจกับความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนแบบดั้งเดิมมากกว่า อย่างไรก็ตาม ได้มีความพยายามแก้ไขปัญหา โดยการทดแทนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วยการใช้การสื่อสารผ่าน E-mail หรือการจัดให้มี discussion forum เพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถมีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นๆได้บ้าง
4. แรงจูงใจ
นักเรียนในชั้นเรียนการเรียนการสอนผ่านเว็บต้องมีแรงจูงใจส่วนตัวและมีการจัดระบบการเรียน การขาดการวางแผนการเรียนจะทำให้นักเรียนไม่ประสบความสำเร็จกับการเรียนและอาจสอบไม่ผ่านในหลักสูตรนั้น ๆ ได้
5. เนื้อหาที่ไม่มีข้อยุติ
เนื้อหาของการเรียนการสอนผ่านเว็บที่เสนอให้กับผู้เรียนนั้น บางครั้งผู้เรียนจะไม่รู้ว่าขอบเขตของเนื้อหาสิ้นสุดที่ใด หากหัวข้อหรือหลักสูตรของเรียนมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง อาจเป็นเหตุให้ผู้เรียนเกิดความสับสนได้
6. ข้อจำกัดเรื่อง bandwidth
ถ้า bandwidth ไม่เพียงพอ จะทำให้การส่งผ่านข้อมูลและเนื้อหาของบทเรียนล่าช้า ยิ่งถ้าข้อมูลนี้มีทั้งเสียงและภาพ ก็จะยิ่งทำให้การส่งล่าช้ายิ่งขึ้น และเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเรียนการสอนในระบบ
E-Learning เพราะจะทำให้เกิดการจราจรติดขัดบนเครือข่ายสากล (Internet) ปัญหานี้อาจไม่รุนแรงนักถ้าเราใช้เพียงเน็ตเวิร์คภายในองค์กร (Intranet) อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องข้อจำกัดเรื่อง bandwidth น่าจะได้รับการแก้ไขได้ในไม่ช้าเพราะได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อแก้ปัญหาในข้อนี้
7. E-Learning ไม่ได้เหมาะสมกับการเรียนการสอนทุกวิชาเสมอไป
บางวิชาเรียนหรือบางหลักสูตรของการฝึกอบรมต้องการการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลมากกว่า เช่น กิจกรรมการสร้างทีมงานและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางอารมณ์ เช่นการลดขนาดขององค์กร ในกรณีนี้
E-Learning อาจถูกใช้เพื่อสนับสนุนกระบวนการเรียนการสอน แต่ไม่ใช่นำมาทดแทนสิ่งดีๆที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว
จากการสรุปข้อจำกัดของการเรียนการสอนแบบ E-Learning ทำให้เห็นได้ว่า การเรียนการสอนแบบ E-Learning อาจจะไม่เหมาะสมในทุกสถานการณ์หรืออาจจะไม่เหมาะกับผู้เรียนทุกคน ดังที่มีการศึกษายืนยันแล้วว่าคุณภาพของการสอนไม่ได้ขึ้นอยู่กับสื่อที่ใช้ ดังนั้นการเรียนแบบ E-Learning จึงต้องอาศัยความตั้งใจของผู้เรียนที่จะต้องเรียนให้สำเร็จ นอกจากนั้น ปัจจัยสำคัญที่จะสร้างประสิทธิภาพของการเรียนการสอนแบบ E-Learning ให้เกิดขึ้นได้ก็คือการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน การให้ผลย้อนกลับโดยทันที รวมทั้งความยืดหยุ่นของเว็บที่ทำให้ผู้สอนสามารประยุกต์เข้ากับการเรียนการสอนได้หลายรูปแบบ เพื่อทำให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการเรียนการสอนแบบ E-Learning นั่นเอง
วันที่ 4 ตุลาคม อย่าลืมไปปฐมนิเทศฝึกประสบการณ์กับอาจารย์จำเนียร ที่ รร.ธีรภาดา ตอนเย็นกันทุกคนนะครับ
ทิศทางของเทคโนโลยีการศึกษา
1. มีแนวโน้มในการนำเทคโนโลยีการศึกษามาใช้ในลักษณะต่อไปนี้ มีการใช้สื่อการ สอนเป็นรายบุคคลมากขึ้น เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังใช้ระบบการศึกษาทางไกลมากขึ้นในระดับที่สูงกว่าประถมศึกษา
2. การใช้สื่อการศึกษาที่ผลิตขึ้นจากท้องถิ่นอย่างเหมาะสมจะมีบทบาทสำคัญ ๆ ทั้งนี้เพราะงบประมาณที่จำกัด โดยเฉพาะประเภทที่ยากจน
3. การจัดองค์การและการบริหารงานจะออกมาในรูปเป็นกลุ่ม เพื่อการประหยัด งบประมาณ ใช้งบประมาณให้คุ้มค่าที่สุด และมีประสิทธิผลที่สุด
4. การวางหน้าที่ของสายงานโดยเฉพาะประเทศไทย จะมีรูปแบบที่คล้าย ๆ กัน แต่ขยาดเล็กใหญ่ตามความเหมาะสมของงานแต่ละแห่ง
5. การวิจัยทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาและการหานวัตกรรมทางการศึกษาที่สามารถนำมาใช้ได้จริง ๆ เริ่มมีมากขึ้น
6. แหล่งทรัพยากรการเรียน โดยเฉพาะบุคลากรในชุมชน เริ่มให้ความสนใจและให้ความร่วมมือกับฝ่ายการศึกษามากขึ้น
7. ปัจจุบัน รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการศึกษา โดยเน้นการใช้สื่อการสอนและเทคโนโลยีเข้าช่วยแก้ปัญหา ทั้งนี้ได้กำหนดให้เทคโนโลยีการศึกษาเป็นหมวดหนึ่งใน 9 หมวดมาตรา ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
ฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2542) ซึ่งเน้นว่า
1) ส่งเสริมสนับสนุนในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีการศึกษาทุกรูปแบบ
2) พัฒนาบุคลากรในด้านความรู้ ทักษะ การใช้ เทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ
3) พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ และทักษะในการนำเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและหาความรู้ด้วยตนได้ตลอดชีวิต
4) ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการติดตามประเมินผล การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาว่าคุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย
IT กับ e-learning
การใช้ IT เพื่อการเรียนการสอนในลักษณะขิง e-learning ในยุคปัจจุบัน จะมีการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทั้งในลักษณะของ Stand Alone และการเชื่อโยงคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่าย สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่อินเตอร์เนต เพื่อค้นหาและแลกเปลี่ยนข้อมูล สารสนเทศ นอกจากนั้น e-learning จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งต่อไปนี้
1. สื่อการเรียนการสอน แบบสื่อประสม (Multimedia) เป็นสื่อที่มีการนำเสอนเนื้อหาในรูปแบบทั้งภาพและเสียง มีปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับผู้เรียน ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการเรียนการสอน ช่วยลดความยุ่งยากซับซ้อน ของเนื้อหาวิชาบางตอน ที่ค่อนข้างจะเป็นนามธรรม นอกจากนี้สื่อนี้บางส่วนเป็นแบบฝึกหัดที่จะช่วยทบทวนความ รู้ของผู้เรียน
2. การใช้ทรัพยากรณ์ทางการศึกษาร่วมกัน (Education Resources Sharing) การพัฒนาองค์กรความรู้บนเครือข่าย คอมพิวเตอร์เพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ บนเครือข่ายอิเตอร์เนตจเป็นคลังทุกแขนง ที่พร้อใจะให้บริการ บนเครือข่ายในหลายรูปแบบ
3. การเรียนการสอนทางไกล (Long Distance Learning) การเรียนการสอนทางไกลของวงการศึกษาไทย ได้มีการ วิวัฒนาการตามลำดับก่อนที่จะเป็นรูปแบบของ e-learning ในปัจจุบันนี้โดยมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจตามลำดับดังนี้
3.1
การเรียนการสอนทางไปรษณี
3.2
การเรียนการสอนทางวิทยุกระจายเสียง
3.3
การเรียนการสอนผ่านทางโทรทัศน์ และผ่านเครือข่ายดาวเทียม
3.4
การเรียนการสอนผ่านทางคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายอินเตอร์เนต การศึกษาที่นิยมในขณะนี้คือ Web
Base Learning เป็นการเรียนการสอนที่ดำเนินการบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีความสะดวกและคล่องตัวสูงผู้ เรียนสามารถเรียนที่ไหน และเวลาใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด
e - learning สนับสนุนการจัดการการศึกษาตาม พ.ร.บ. การศึกแห่งชาติฉบับใหม่ ที่มีทางเลือกสำหรับการเรียนรู้ตลอด ชีวิต มีหลายแนวทางคือ
การศึกษาในระบบ ที่เป็นการศึกษษในระบบโรงเรียน การกำหนดหลักสูตร มีระยะเลา สำเร็จการศึกษาที่แน่นอน การศึกษาในระดับนี้หากมีการใช้อุกรณ์ด้าน IT สื่อ Multimedia และเครื่อข่ายอินเตอร์เนตสนับสนุนการเรียน การสอนแล้วจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพการเรียนการสอนมา
การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนดรูปแบบการศึกษา ระยะเวลา การวัดประเมินผล หรือที่เรียนกกันทั่วไปว่าการศึกษานอกระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบนี้สื่อต่าง ๆ และระบบการศึกษาทางไกล จะเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ตามศักยภาพความพร้อม ซึ่งการ เรียนการสอนแบบ Web Based Learning ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนตจะอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนมาก เพราะผู้เรียนสามารถเรียนได้โดยไม่มีข้อจำกัดของเวลาและสถานที่ สามารถเรียนได้ทันที อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ ขอเพียง เราเข้าถึงเครื่อข่ายอินเตอร์เนตได้เกือยทุกแห่งทั่วโลก
เป็นการเรียนการสอนผ่านทางคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตการศึกษาที่นิยมกันมากในขณะนี้คือ Web Base Learning การเรียนแบบนี้ ผู้เรียนสามารถเรียนที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ไม่มีข้อจำกัดเราสามารถศึกษาหาความรู้ได้ตลอดเวลามีผลดีต่อการศึกษาไทยมาก
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
รัฐจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอื่นเพื่อประโยชน์สำหรับการศึกษา การทะนุบำรุง ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมตามความจำเป็น รัฐส่งเสริมสนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนา การผลิตและพัฒนาแบบเรียน ตำรา สื่อสิ่งพิมพ์อื่น วัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่น โดยจัดให้มีเงินสนับสนุนและเปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ให้มีการพัฒนาบุคลากร ทั้งด้านผู้ผลิตและผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในโอกาสแรกที่ทำได้ อันจะนำไปสู่การแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ให้มีการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา จากเงินอุดหนุนของรัฐ ค่าสัมปทานและผลกำไรที่ได้จากการดำเนินกิจการ ด้านสื่อสารมวลชขน เทคโนโลยีสารสนเทศ และโทรคมนาคมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรประชาชน รวมทั้งให้มีการลดอัตราค่าบริการเป็นพิเศษในการใช้เทคโนโลยี ให้มีหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบาย แผน ส่งเสริม และประสานการวิจัย การพัฒนาและการใช้ รวมทั้งการประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของการผลิตและการใช้เทคโนโลยีเพื่อ การศึกษา
ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากมองว่า ทิศทางของ E-Learning ในประเทศไทยจะต้องแพร่หลายมากขึ้น และปัจจัยที่จะมีผลต่อการพัฒนา E-Learning ในอนาคต คือ เทคโนโลยี
ตลอดจนค่าตอบแทนและการปกป้องลิขสิทธิ์ของเจ้าของเนื้อหา E-Learning จะทำให้ครูและผู้สอนมีบทบาทเปลี่ยนไปจากผู้สอน (Instructor) เป็นผู้ชี้แนะ (Facilitator)
หรือผู้กำกับ ครูจำเป็นต้องมีการพัฒนาศักยภาพที่จะชี้แนะเด็กได้ ต้องปรับเปลี่ยนโลกทัศน์และกระบวนทัศน์ของตนเอง กลุ่มเป้าหมายในอนาคตของ E-Learning
จะเน้นไปที่นักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอกมาก เพราะส่วนมากเป็นผู้ที่มีความต้องการและตั้งใจที่จะเข้ารับการศึกษา และมีความรับผิดชอบที่จะเรียนรู้ได้
ด้วยตนเองมากกว่า ระดับปริญญาตรีจะใช้ E-Learning เป็นภาคบังคับและถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร จะมีการขยาย E-Learning จากระดับอุดมศึกษาลงไป
ในระดับโรงเรียนมากขึ้น แต่จะค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนั้น การศึกษานอกระบบจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของ E-Learning ในอนาคต
และจะมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าการศึกษาในระบบ เพราะประชาชนจะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยตนเองมากขึ้น ค่านิยมและชื่อเสียง
ของสถาบันที่เปิดสอน E-Learning จะมีส่วนในการตัดสินใจของผู้เรียน แต่การใช้ E-Learning ในประเทศไทยสำหรับอนาคตอันใกล้ จะเป็นเพียงสื่อเสริม
หรือสื่อเติมมากกว่าที่จะเป็นสื่อหลัก เพราะห้องเรียนยังมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง วัฒนธรรมไทยยังต้องการความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างผู้เรียนและผู้สอน
อย่างไรก็ตาม E-Learning อาจใช้เป็นสื่อหลักได้สำหรับกลุ่มนักศึกษาที่มีภาระการงานและวุฒิภาวะสูง เช่น นักศึกษาระดับปริญญาเอกเป็น ต้น
ประโยชน์ของ E-Education ต่อการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาและการเอื้อประโยชน์ต่อผู้เรียน โดยสรุปมีดังนี้
• ลดช่องว่างการแข่งขันระหว่างองค์กรหรือสถาบันการศึกษาทั่งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
• ทำให้องค์กรสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่ต้องปรับตัวทั้งในด้านการบริหาร การจัดการองค์กร รวมไปถึงวิธีการดำเนิน
• ก่อให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจการศึกษามากขึ้น
• สร้างช่องทางการขยายการศึกษามากขึ้น
• เกิดการทำงานภายใต้คอนเซปต์ มหาวิทยาลัย 24 ชั่วโมง ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมทางการศึกษาตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
• สร้างรูปแบบของความร่วมมือทางการศึกษาหรือเครือข่ายการศึกษาที่หลากหลายขึ้น
• ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร
• ทำให้เกิดแรงผลักดันในการจัดการศึกษารูปแบบแปลกใหม่มากขึ้น
• เป็นตลาดการศึกษาที่ผู้เรียนสามารถเลือกซื้อสินค้าความรู้และบริการการศึกษาจากแหล่งต่างๆทั่วโลก
• สามารถคัดเลือกและเปรียบเทียบคุณภาพราคา และยังประหยัดเวลาเนื่องจากไม่ต้องเดินทาง (ในขณะนี้มี Website บริการให้เข้าศึกษาก่อนจ่ายเงินที่หลัง)
• สามารถรับข้อมูลการศึกษาที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจหลากหลายแง่มุม เช่น รายละเอียดของหลักสูตร ข้อมูลอาจาย์ผู้สอน รวมถึงยังสามารถให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ การจัดการศึกษานั้นๆได้โดยตรงอีกด้วย
• ได้รับความสะดวกในการศึกษา เพราะสามารถนั่งศึกษาอยู่ที่บ้านหรือที่ใด ๆ ทั่วโลกที่มีอินเทอร์เนต
นอกจากนี้ E-Education ยังช่วยให้สามารถทำการส่งข้อมูลสื่อการศึกษา และการบริการ เช่น Course ware ,ห้องสมุดอิเลคโทรนิค และ การชำระลงทะเบียนเรียน, ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น สายโทรศัพท์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการให้บริการ เกี่ยวกับ เครื่องมือที่ช่วย สถาบันการศึกษา องค์การจัดการศึกษา ตลอดจนผู้ศึกษาหรือผู้เรียน ลดค่าใช้จ่าย จากการใช้บริการผ่านเครือข่าย ช่วยให้ข้อมูลและการบริการที่รวดเร็ว ทันสมัย (จะไม่เห็นตำราเอกสารประกอบการเรียนเก่าๆสีเหลืองๆอีกต่อไป) อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ต่อไป
“นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation )” หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว และประเภทที่กำลังเผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction) การใช้แผ่นวิดีทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ ( Hypermedia ) และอินเทอร์เน็ต [Internet] เหล่านี้ เป็นต้น (วารสารออนไลน์ บรรณปัญญา.htm)
“นวัตกรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ(Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น
เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี(วิทยา) หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพของการศึกษาให้สูงขึ้นเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุม องค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ (boonpan edt01.htm)
สภาเทคโนโลยีทางการศึกษานานาชาติได้ให้คำจำกัดความของ เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าเป็นการพัฒนาและประยุกต์ระบบเทคนิคและอุปกรณ์ ให้สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ของคนให้ดียิ่งขึ้น
นวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ ที่กล่าวถึงกันมากในปัจจุบัน นั่นก็คือ e-learning
ปุ๊ สุกัญญา มนตรี กล่าวว่า
คำว่า e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ การเรียนด้วยวีดีโอผ่านออนไลน์ เป็นต้น
ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า e-Learning กับการเรียน การสอน หรือการอบรม ที่ใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Based Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมถึงเทคโนโลยีระบบการจัดการหลักสูตร (Course Management System) ในการบริหารจัดการ งานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนด้วยระบบ e-Learning นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ หรือ จากแผ่นซีดี-รอม ก็ได้ และที่สำคัญอีกส่วนคือ เนื้อหาต่างๆ ของ e-Learning สามารถนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology)
คำว่า e-Learning นั้นมีคำที่ใช้ได้ใกล้เคียงกันอยู่หลายคำเช่น Distance Learning (การเรียนทางไกล) Computer based training (การฝึกอบรมโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ หรือเรียกย่อๆว่า CBT) online learning (การเรียนทางอินเตอร์เนต) เป็นต้น ดังนั้น สรุปได้ว่า ความหมายของ e-Learning คือ รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1 สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้
ปุ๊ สุกัญญา มนตรี กล่าวว่า
ประโยชน์ของ e-Learning
ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเนื้อหา และ สะดวกในการเรียน
การเรียนการสอนผ่านระบบ e-Learning นั้นง่ายต่อการแก้ไขเนื้อหา และกระทำได้ตลอดเวลา เพราะสามารถกระทำได้ตามใจของผู้้สอน เนื่องจากระบบการผลิตจะใช้ คอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบหลัก นอกจากนี้ผู้เรียนก็สามารถเรียนโดยไม่จำกัดเวลา และสถานที่
เข้าถึงได้ง่าย
ผู้เรียน และผู้สอนสามารถเข้าถึง e-learning ได้ง่าย โดยมากจะใช้ web browser ของค่ายใดก็ได้ (แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ผลิตบทเรียน อาจจะแนะนำให้ใช้ web browser แบบใดที่เหมาะกับสื่อการเรียนการสอนนั้นๆ) ผู้เรียนสามารถเรียนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใดก็ได้ และในปัจจุบันนี้ การเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกระทำได้ง่ายขึ้นมาก และยังมีค่าเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่มีราคาต่ำลงมากว่าแต่ก่อนอีกด้วย
ปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยกระทำได้ง่าย
เนื่องจากผู้สอน หรือผู้สร้างสรรค์งาน e-Learning จะสามารถเข้าถึง server ได้จากที่ใดก็ได้ การแก้ไขข้อมูล และการปรับปรุงข้อมูล จึงทำได้ทันเวลาด้วยความรวดเร็ว
ประหยัดเวลา และค่าเดินทาง
ผู้เรียนสามารถเรียนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ โดยจำเป็นต้องไปโรงเรียน หรือที่ทำงาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องประจำก็ได้ ซึ่งเป็นการประหยัดเวลามาก การเรียน การสอน หรือการฝึกอบรมด้วยระบบ e-Learning นี้ จะสามารถประหยัดเวลาถึง 50% ของเวลาที่ใช้ครูสอน หรืออบรม
คำว่า e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ การเรียนด้วยวีดีโอผ่านออนไลน์ เป็นต้น
นปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า e-Learning กับการเรียน การสอน หรือการอบรม ที่ใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Based Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมถึงเทคโนโลยีระบบการจัดการหลักสูตร (Course Management System) ในการบริหารจัดการ งานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนด้วยระบบ e-Learning นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ หรือ จากแผ่นซีดี-รอม ก็ได้ และที่สำคัญอีกส่วนคือ เนื้อหาต่างๆ ของ e-Learning สามารถนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology)
คำว่า e-Learning นั้นมีคำที่ใช้ได้ใกล้เคียงกันอยู่หลายคำเช่น Distance Learning (การเรียนทางไกล) Computer based training (การฝึกอบรมโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ หรือเรียกย่อๆว่า CBT) online learning (การเรียนทางอินเตอร์เนต) เป็นต้น ดังนั้น สรุปได้ว่า ความหมายของ e-Learning คือ รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1 สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้
นี่ก้อคืออีกส่วนหนึ่งของประโยชน์ในการใช้ E-learning ในระดับอุดมศึกษา
1 ช่วยลดการติด F ของนักศึกษา
2 ช่วยนักเรียนที่ไม่เข้าเรียน ให้ติดตามเนื้อหา ได้ระดับหนึ่ง
3 ช่วยนักเรียนที่นั่งหลับในห้อง ให้ทบทวนได้ในภายหลัง
4 ช่วยให้นักศึกษามีประสบการณ์จากแบบฝึกหัดมากขึ้น
5 ช่วยให้อาจารย์เตรียมสอน และเก็บเอกสารเป็นระบบ เชิงวิชาการ
6 ช่วยแนะนำแหล่งข้อมูล สำหรับวิชาที่สอน ได้อีกมากมาย
วัตถุประสงค์ของ e-Learning ก้อคือ
1 เพื่อพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการ2 สอนให้ทันสมัย และกว้างไกลมากขึ้น นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
3 เพื่อขจัดปัญหา และข้อจำกัด ของการขยายโอกาสทางการศึกษา
4 เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนการศึกษาต่อเนื่องของผู้ที่ทำงานในสถานประกอบการ
5 เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักศึกษาทั่วไปได้มีโอกาส และช่องทางการศึกษามากขึ้น
(e-Learning) คือ การใช้ทรัพยากรต่างๆ ในระบบอินเตอรเน็ต (Internet) มาออกแบบและจัดระบบเพื่อสรางระบบการเรียนการสอน โดยการสนับสนุนและสงเสริมใหเกิดการเรียนรู้อยางมีความหมายตรงกับความตองการของผู้สอน และผู้เรียน เชื่อมโยงระบบเป็นเครือขายที่สามารถเรียนรู้ไดทุกที่ ทุกเวลา และทุกคน สามารถประเมิน ติดตามพฤติกรรมผู้เรียนได้ เสมือนการเรียนในห้องเรียนจริง โดยสามารถพิจารณาไดจากคุณลักษณะ ดังนี้
เว็บไซตที่เกี่ยวของกับการศึกษา เกี่ยวข้องกับเนื้อหารายวิชาใด วิชาหนึ่งเป็นอย่างน้อย หรือการศึกษาตามอัธยาศัย
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จากทุกที่ทุกเวลาโดยอิสระ
ผู้เรียนมีอิสระในการเรียน การบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้แต่ละเนื้อหา ไม่จําเป็นต้องเหมือนกัน หรือพร้อมกับผู้เรียนรายอื่น
มีระบบปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน และสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้
มีเครื่องมือที่วัดผลการเรียนได้
มีการออกแบบการเรียนการสอนอย่างมีระบบ
ผู้สอนมีสภาพเป็นผู้ช่วยเหลือผู้เรียนในการค้นหา การประเมิน การใช้ประโยชน์จากเนื้อหา จากสื่อรูปแบบต่างๆ ที่มีให้บริการ
มีระบบบริหารจัดการการเรียนรู้
มีระบบบริหารจัดการเนื้อหา/หลักสูตร
เห็นด้วยครับ e-Learning คือ รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1 สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้
e-learning การศึกษา เรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่นๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย(e-mail, web-board, chat) จึงเป็นการเรียนสำหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานที่
e-Learning เป็นระบบการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเว็บ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีสภาวะแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา (Active Learning) และการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center Learning) ผู้เรียนเป็นผู้คิด ตัดสินใจเรียน โดยการสร้างความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ ด้วยตนเอง สามารถเชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้ให้เข้ากับชีวิตจริง ครอบคลุมการเรียนทุกรูปแบบ ทั้งการเรียนทางไกล และการเรียนผ่านเครือข่ายระบบต่างๆ
ปัญหาการพัฒนา e-Learning ในประเทศไทย
การพัฒนา WBI และ e-Learning ในประเทศไทย ต่างก็ประสบปัญหาต่างๆ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
-ปัญหาการสนับสนุนด้านงบประมาณและบุคลากร และการสนับสนุนจากผู้บริหาร
-ปัญหาการขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี e-Learning และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
-ปัญหาเรื่องราคาของซอฟต์แวร์ CMS/LMS และการลิขสิทธิ์
-ปัญหาเรื่องทีมงานดำเนินการ ทั้งด้านความรู้, การคิดสร้างสรร และเงินสนับสนุน
-ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะนำเสนอ ทั้งแหล่งที่มา, ผลตอบแทน และการละเมิดเมื่อเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์
-ปัญหาเกี่ยวกับ Infrastructure ของประเทศ ที่ยังขาดความพร้อม
-ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการพัฒนาเว็บภาษาไทย ทั้งการเข้ารหัส, การใช้ฟอนต์ และรูปแบบ
-ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดทำระบบ CMS/LMS
ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้วผมเห็นด้วยกับทุกคำตอบครับ
บริการเนื้อหาวิชาในอีเลิร์นนิ่ง (E-learning Content Service)
การพัฒนาเนื้อหาวิชาในอีเลิร์นนิ่ง ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของระบบอีเลิร์นนิ่ง เนื้อหาความรู้ที่ถูกต้องยังไม่เพียงพอต่อการเรียนรู้อีเลิร์นนิ่งให้ประสบความสำเร็จ การนำตำราเรียนมาสร้างเป็นเนื้อหา (Courseware) ที่มีคุณภาพนั้น จึงต้องใช้ทั้งหลักวิชาการและประสบการณ์ โครงการ การเรียนรุ้แบบออนไลนแห่ง สวทช. (NOLP) เป็นผู้นำในการพัฒนาเนื้อหา (Courseware) โดยใช้หลักการออกแบบสื่อการสอน และทีมงานที่มากด้วยประสบการณ์และผ่านการพัฒนาวิชาต่างๆ มามาก 100 วิชา ครอบคลุมเกือบทุกสาขาวิชา
ลักษณะเด่น
ออกแบบเนื้อหาวิชาโดยใช้หลักการ Instructional System Design (ISD) โดยผู้เชี่ยวชาญ
ออกแบบในลักษณะ Learning Object ที่ทันสมัย ง่ายต่อการนำไปใช้งานใหม่
ใช้สื่อประสมและซอฟต์แวร์หลากหลายประกอบเข้าด้วยกัน เช่น ภาพ, วีดีโอ และเสียง เป็นต้น
มีการทำงานเป็นทีมงานประกอบด้วย Project Manager, ISD, Script Writer, Graphic Designer, Multimedia Integratorและ Programmer
เนื้อหาวิชา พัฒนาขึ้นตามมาตรฐาน SCORM 2004 สามารถนำไปใช้ได้กับทุกๆ LMS ที่รองรับมาตรฐาน SCORM
มุ่งพัฒนาระบบการเรียน การสอน การฝึกอบรม ในรูปแบบ E-Learning โดยใช้ Web based instruction เป็นเครื่องมือ (Tool) หรือเรียกกันว่า WBI ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์การเรียนการสอนในห้องเรียน เป็นลักษณะ Virtual Classroom เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นศึกษา Internet และ ผู้ที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติมทั่วไป
การนำไอทีมาใช้เพื่อการเรียนการสอนของ e-Learning ในยุคปัจจุบัน เป็นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งที่เป็นเครื่องเดียวเรียกว่า stand-alone หรือการเรียกผ่านเครือข่ายเชื่อมโยงสู่อินเตอร์เน็ต เพื่อการค้นคว้าหาข้อมูลแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายซึ่งที่ผ่านมาเราใช้สื่อการเรียนการสอนในรูปแบบของสื่อประสม (Multimedia) ใช้ในการนำเสนอลงบนแผ่นซีดี-รอมโดยใช้ Authoring Tool ทั้งภาพและเสียงเพื่อเกิดการปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ให้กับผู้เรียนซึ่งสื่อเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับความสนใจสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัญหาที่ประสบก็คือเนื้อหาที่มีอยู่ไม่ตรงตามหลักสูตรการศึกษานอกจากนี้ยังมีการละเมิดลิขสิทธิ์ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถพัฒนาสื่อได้อย่างมีคุณภาพ
-Learning
เป็นการเรียนการสอนผ่านทางคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตการศึกษาที่นิยมกันมากในขณะนี้คือ Web Base Learning การเรียนแบบนี้ ผู้เรียนสามารถเรียนที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ไม่มีข้อจำกัด
รูปแบบการเรียนการสอน
การเรียนการสอนทางไกล (Distance Education) เป็นการเรียนการสอนที่ประยุกต์เทคโนโลยีหลายๆอย่าง เช่น ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การประชุมทางไกลชนิดภาพและเสียง รวมถึงเอกสารต่างๆเพื่อเข้าถึงผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
แบบมหาวิทยาลัยออนไลน์ เรียกว่า Online University หรือ Virtual University* เป็นระบบการเรียนการสอนที่อยู่บนเครือข่ายในรูปเว็บเพจ มีการสร้างกระดานถาม-ตอบ อิเล็กทรอนิกส์ (Web Board)
การเรียนการสอนผ่านทางอินเทอร์เน็ตและเว็บเพจ (Online Learning, Internet Web Base Education) เป็นการนำเสนอเนื้อหาและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนโดยเน้นสื่อประสมหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน มีการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ประสานงานกัน ให้ผู้เรียนและผู้สอนเข้าถึงฐานข้อมูลหลายชนิดได้ โดยผู้เรียนต้องควบคุมจังหวะการเรียนรู้ด้วยตนเองให้เป็น และเลือกเวลา สถานที่ในการเรียนรู้
โครงข่ายการเรียนการสอนแบบอะซิงโครนัส (Asynchronous Learning Network: ALN) เป็นการเรียนการสอนที่ต้องมีการติดตามผลระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน โดยใช้การทดสอบบทเรียน เป็นตัวโต้ตอบ
Virtual หมายถึง เสมือน Virtual University คล้ายๆการเรียนการสอนแบบ e-Learning เหมือนกับการจำลองสถานที่เรียน โดยผ่านทางเครือข่าย ไม่เหมือนห้องเรียนแบบเก่าที่มีครู/อาจารย์มาสอนหน้าชั้นเรียน จึงดูเหมือนของปลอม ต่อมาจึงได้มีการบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยขึ้นมาใหม่เพื่อใช้แทนคำว่า "เสมือน" คำนั้นก็คือ โทรสนเทศ หรือมหาวิทยาลัยโทรสนเทศ
มาตรการการส่งเสริมการเรียนการสอนแบบ e-Learning
จัดทำโครงสร้างโอกาสทางเทคโนโลยี (Digital Opportunity Program) โดยการลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงเทคโนโลยี สร้างเครือข่ายการให้บริการการศึกษาครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งผู้พัฒนาและการให้บริการเนื้อหา
จัดตั้งกลุ่มของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาเนื้อหาและธนาคารความรู้ (Knowledge Depository)
จัดทำโครงการระดับประเทศ เพื่อสร้างความตื่นตัวและเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สร้างมาตรการแรงจูงใจโดยมาตรการทางภาษี หรือการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ให้ภาคเอกชนจัดบริการการศึกษาออนไลน์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
สร้างเกณฑ์เปรียบเทียบ (Benchmark) และมาตรฐานขั้นต่ำ (Minimum Requirement) เพื่อควบคุมคุณภาพการให้บริการของผู้ให้บริการการศึกษาจากธุรกิจภาคเอกชน
จัดตั้งกองทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา โดยการระดมทุนจากภาครัฐและเอกชน เพื่อลดการนำเข้าและเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ นวัตกรรมทางการศึกษา
ให้การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และต่างประเทศในการพัฒนาการเรียนรู้
ทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการรับรองสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
สนับสนุนและลงทุนในโครงการนำร่องต่างๆที่เกี่ยวกับ Virtual University เพื่อให้เกิดความคุ้มทุนและเกิดประสิทธิภาพที่ดีในระยะยาว
ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า e-Learning กับการเรียน การสอน หรือการอบรม ที่ใช้เทคโนโลยีของเว็บ ในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมถึงเทคโนโลยีระบบการจัดการหลักสูตร ในการบริหารจัดการงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนด้วยระบบ e-Learning นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ หรือ จากแผ่นซีดี-รอม ก็ได้ และที่สำคัญอีกส่วนคือ เนื้อหาต่างๆ ของ e-Learning สามารถนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ
คำว่า e-Learning นั้นมีคำที่ใช้ได้ใกล้เคียงกันอยู่หลายคำเช่น Distance Learning (การเรียนทางไกล) Computer based training (การฝึกอบรมโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ หรือเรียกย่อๆว่า CBT) online learning (การเรียนทางอินเตอร์เนต) เป็นต้น ดังนั้น สรุปได้ว่า ความหมายของ e-Learning คือ รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1 สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้
การศึกษาไทยพร้อมหรือยังกับการใช้ e-learning นำมาสนับสนุนการศึกษา
ในการสร้างฐานความรู้โดยอาศัยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งในปัจจุบันนับได้ว่ามีความสำคัญ และมีความจำเป็นต่อวงการศึกษาเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากนโยบายการปฏิรูปการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อให้สถานศึกษาทุกแห่ง ส่งเสริม สนับสนุนเพื่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นกลไกในการจัดการศึกษา เพื่อก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ที่จะตอบสนองให้ผู้เรียนและประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์เพื่อการเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างทั่วถึง มีความเสมอภาคและมีประสิทธิภาพที่เท่าเทียมกัน ที่สำคัญจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่จะนำพาไปสู่การสร้างสังคมการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ปัจจุบันระบบการจัดการศึกษาแบบ e-learning ได้รับการยอมรับว่าเป็นกลไกสำคัญอีกระบบหนึ่งที่มีคุณลักษณะในการสนับสนุน ส่งเสริม ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างอิสระ ช่วยให้เข้าถึงแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ได้อย่างรวดเร็วและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย นอกจากนี้ การจัดการศึกษารูปแบบ e-learning นี้ เป็นการสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก ผู้เรียนสามารถเข้าถึง ควบคุมกระบวนการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง (Self-Directed Learning) กระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ เป็นการเรียน รู้ในลักษณะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered Learning) ด้วยวิธีการที่หลากหลายสนองต่อกลไกการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ และสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานการศึกษาเดียวกัน เรียนรู้ได้ทุกเวลา เข้าถึงสาระเนื้อหาได้ในทุกสถานที่ (anyone-anywhere-anytime learning) โดยใช้กลไกของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในฐานะที่หน่วยงาน สถานศึกษา สังกัด กศน. มีเป้าหมายหลักในการส่งเสริม สนับสนุนการจัดการศึกษาที่ครอบคลุมการจัดศึกษาให้กับ กลุ่มคนที่หลากหลาย แต่ในการใช้ช่องทางทางเทคโนโลยีสารสนเทศ นำมาเป็นช่องทางในการจัด และส่งเสริมการศึกษา อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ดูเหมือนว่ายังทำได้ไม่เต็มที่นัก สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ก็เป็นอีกหน่อยงานหนึ่ง ที่ใช้ ICT เป็นฐาน เป็นช่องทาง การเรียนรู้ การฝึกอบรม มาโดยตลอด ทำให้เห็นว่าหลักสูตร เนื้อหาที่มีอยู่นั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ นอกจากนี้ การใช้งาน การเข้าถึงช่องทาง เส้นทางการศึกษา วิธีนี้ ก็ยังอยู่ในวงจำกัด
E-learning กับ วัฒนธรรมการเรียนรู้แบบองค์กรไทย
ใครๆ ก็รู้ว่าเรากำลังอยู่ในยุคดิจิตอล แม้แต่เด็กเล็กๆ เรียนอยู่ประถมต้นในโรงเรียนต่างๆ ก็รู้จักที่จะเล่นเกมคอมพิวเตอร์และใช้คอมพิวเตอร์เป็นกันทั้งนั้น ครูอาจารย์ทั้งหลายก็สนับสนุนให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา รู้จักค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเองจากอินเทอร์เน็ต โดยเน้นย้ำว่าการเรียนการสอนในชั้นเรียนนั้นไม่เพียงพอ โดย ลูกศิษย์ทั้งหลายพึงขวนขวายใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมจาก อินเทอร์เน็ต ซึ่งมีเว็บไซต์มากมายให้เข้าไปเยี่ยมชมและศึกษาหาข้อมูลได้ ซึ่งกระบวนการหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองนี้ คือ Self-Learning Process นั่นเอง โดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสื่อหรือเครื่องมือที่ใช้ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองที่มีประสิทธิภาพสูง
ในสมัยก่อนที่การใช้คอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลาย การศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองก็คือการหาหนังสือตำรับตำรามาอ่านจากห้องสมุดบ้างหรือซื้อหาหนังสือมาอ่านเองบ้าง แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า การศึกษาด้วยตนเองก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก เพียงกดปุ่ม พิมพ์อักษรไม่กี่ตัวก็เข้าไปท่องเว็บไซต์ต่างๆ ได้แล้ว การเรียนรู้โดยใช้สื่อคือคอมพิวเตอร์นี้ก็คือ E-Learning นั่นเอง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีมหาวิทยาลัยทั้งไทยและเทศเปิดหลักสูตรระดับปริญญาตรีและโท โดยเรียนแบบ E-Learning กันแพร่หลาย และนอกจากหลักสูตรระดับปริญญาแล้ว ก็ยังมีหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆ ให้เลือกศึกษาตามความชอบและตามเวลาที่สะดวก ไม่เหมือนกับการเรียนในชั้นเรียนที่ต้องไปเรียนตามเวลาที่กำหนด เรียนจบแล้วก็แล้วกัน อยากฟังที่อาจารย์พูดซ้ำก็ยาก (ยกเว้นขออนุญาตอัดเทปหรืออัดวิดีโอไว้ดูซ้ำภายหลัง)
E-Learning จึงเป็นทางออกที่สวยสำหรับหลายองค์กรที่อยากจัดหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานที่มีเวลาว่างในการเข้ารับฝึกอบรมไม่ตรงกัน นอกจากนี้ ยังสามารถทบทวนบทเรียนตามความสามารถในการทำความเข้าใจของแต่ละคนได้ ส่วนเรื่องประหยัดนั้นคงต้องคิดใน ระยะยาว เพราะการลงทุนติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ และสร้างหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับการเรียนการสอน แบบ E-Learning นั้นมีค่าใช้จ่ายมาก แต่เมื่อติดตั้ง จัดระบบเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ความคุ้มทุนจะอยู่ที่จำนวนผู้ใช้และจำนวนครั้งที่ใช้ เพราะสามารถเรียนซ้ำๆ ได้ ตามเวลาและความสะดวก ยิ่งใช้ซ้ำมากก็ยิ่งคุ้ม
เงียบเหงากันจังเลยเข้ามา comment กันเยอะๆ เด้อจะได้เกรด A กันทุกคน
คำว่า e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ การเรียนด้วยวีดีโอผ่านออนไลน์ เป็นต้น
ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า e-Learning กับการเรียน การสอน หรือการอบรม ที่ใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Based Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมถึงเทคโนโลยีระบบการจัดการหลักสูตร (Course Management System) ในการบริหารจัดการงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนด้วยระบบ e-Learning นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ หรือ จากแผ่นซีดี-รอม ก็ได้ และที่สำคัญอีกส่วนคือ เนื้อหาต่างๆ ของ e-Learning สามารถนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology)
คำว่า e-Learning นั้นมีคำที่ใช้ได้ใกล้เคียงกันอยู่หลายคำเช่น Distance Learning (การเรียนทางไกล) Computer based training (การฝึกอบรมโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ หรือเรียกย่อๆว่า CBT) online learning (การเรียนทางอินเตอร์เนต) เป็นต้น ดังนั้น สรุปได้ว่า ความหมายของ e-Learning คือ รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1 สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้
บทบาทการเรียนการสอน E-learning ในประเทศไทย
สังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ IT E-learning เป็นการนำไอทีไปใช้ในด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพด้าน การเรียนการสอนในหลากหลายรูปแบบเช่น การนำมัลติมีเดียมาเป็นสื่อการสอนของครู/อาจารย์ ให้ผู้เรียน เรียนรู้ค้นคว้าด้วยตัวเอง ด้วยการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม ในยุคปัจจุบันเป็นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Stand-alone หรือการเรียนผ่านเครือข่าย เชื่อมโยงสู่อินเทอร์เน็ตเพื่อการค้นคว้าหาข้อมูลแลกเปลี่ยนค้นข้อมูลความรู้บนเครือข่ายซึ่งที่ผ่านมาเราใช้สื่อ การเรียนการสอนในรูปแบบของสื่อผสม (Multimedia) ใช้การนำเสนอลงบนแผ่นซีดี-รอมโดยใช้ Authoring tool ทั้งภาพและเสียงเพื่อเกิดการปฏิสัมพันธ์ ให้กับผู้เรียนซึ่งสื่อเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับ ความสนใจสูงขึ้นเรื่อยๆ
การสร้างซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา คือ การสร้างโปรแกรมเพื่อทำให้เกิดการถ่ายทอดข้อมูลไปยังผู้เรียนกลุ่มต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสและช่องทางการเรียนรู้ให้กลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ซอฟต์แวร์แปลภาษา หรือ ซอฟต์แวร์เพื่อกลุ่มคนพิการ เป็นต้น
การสร้างโมดูลทางการศึกษา คือ การให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนวิชาข้ามมหาวิทยาลัยที่ตนสนใจได้ เช่น สามารถเลือกเรียนวิชาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และเลือกเรียนวิชาการตัดแต่งพันธุกรรมจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาจูเซต (MIT) ไป พร้อมกัน การเลือกวิชาเรียนตามความต้องการของผู้เรียนนี้ ทำได้โดยการสร้างโปรแกรมจัดวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนวิชาที่เหมาะสมสอดคล้องตามความต้องการ และความสนใจของตน อีกทั้งยังทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบสหวิทยาการจากการบูรณาการวิชาที่เด่น ของหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งไปพร้อมกันได้
ชยพล มุลาลี yiaw_civil_en@hotmail.com
เห็นด้วยกับการสร้างโมดูลทางการศึกษา คือสามารถเลือกเรียนได้หลากหลายหลักสูตรในเวลาเดียวกัน และมหาวิทยาลัยทึ่แตกต่าง ทำให้ผู้เรียนมีความคิดกว้างขึ้นสนใจกับการเรียนที่ตนชอบ
ในความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่า e-learning มีความสะดวกรวดเร็ว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมและคนที่เรียนไม่ทันเพื่อนก็สามารถค้นคว้าหาความรู้ทางอินเตอร์เพิ่มเติมต่อยอดความรู้ได้ แต่หากคนที่ต้องการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เนตและห่างไกลความเจริญก็จะทำให้ประสบปัญหาในด้านการศึกษาทางอินเทอร์เน็ต
ประโยชน์ของ e-Learning ::
ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเนื้อหา และ สะดวกในการเรียน
การเรียนการสอนผ่านระบบ e-Learning นั้นง่ายต่อการแก้ไขเนื้อหา และกระทำได้ตลอดเวลา เพราะสามารถกระทำได้ตามใจของผู้้สอน เนื่องจากระบบการผลิตจะใช้ คอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบหลัก นอกจากนี้ผู้เรียนก็สามารถเรียนโดยไม่จำกัดเวลา และสถานที่
เข้าถึงได้ง่าย
ผู้เรียน และผู้สอนสามารถเข้าถึง e-learning ได้ง่าย โดยมากจะใช้ web browser ของค่ายใดก็ได้ (แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ผลิตบทเรียน อาจจะแนะนำให้ใช้ web browser แบบใดที่เหมาะกับสื่อการเรียนการสอนนั้นๆ) ผู้เรียนสามารถเรียนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใดก็ได้ และในปัจจุบันนี้ การเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกระทำได้ง่ายขึ้นมาก และยังมีค่าเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่มีราคาต่ำลงมากว่าแต่ก่อนอีกด้วย
ปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยกระทำได้ง่าย
เนื่องจากผู้สอน หรือผู้สร้างสรรค์งาน e-Learning จะสามารถเข้าถึง server ได้จากที่ใดก็ได้ การแก้ไขข้อมูล และการปรับปรุงข้อมูล จึงทำได้ทันเวลาด้วยความรวดเร็ว
ประหยัดเวลา และค่าเดินทาง
ผู้เรียนสามารถเรียนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ โดยจำเป็นต้องไปโรงเรียน หรือที่ทำงาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องประจำก็ได้ ซึ่งเป็นการประหยัดเวลามาก การเรียน การสอน หรือการฝึกอบรมด้วยระบบ e-Learning นี้ จะสามารถประหยัดเวลาถึง 50% ของเวลาที่ใช้ครูสอน หรืออบรม
จากประโยชน์ของ e-Learning ดังกล่าวนี้ ทำให้ภาคเอกชนเป็นจำนวนมากหันมานิยมใช้ระบบ e-learning ในการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น
องค์ประกอบของ e-Learning
ในการออกแบบพัฒนา e-Learning ก็จะประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1. เนื้อหา (content)
เนื้อหาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดสำหรับ e-Learning ซึ่งผู้สอนได้จัดหาให้แก่ผู้เรียนผู้เรียนมีหน้าที่ศึกษาเนื้อหาด้วยตนเอง เพื่อทำการปรับเปลี่ยน (convert) เนื้อหาสารสนเทศที่ผู้สอนเตรียมไว้ให้เกิดเป็นความรู้ โดยผ่านการคิดค้น วิเคราะห์อย่างมีหลักการและเหตุผลด้วยตัวของผู้เรียนเอง องค์ประกอบของเนื้อหาที่สำคัญ ได้แก่
1.1 โฮมเพจ หรือเว็บเพจแรก
ซึ่งการออกแบบโฮมเพจต้องออกแบบให้สวยงามและตามหลักการการออกแบบเว็บเพจ เพื่อส่งผลให้ผู้เรียนมีความสนใจที่จะกลับมาเรียนมากขึ้น นอกจากความสวยงามแล้ว ในโฮมเพจยังคงต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่จำเป็น ดังนี้
- คำประกาศ/คำแนะนำการเรียนทาง e-Learning โดยรวม
- ระบบสำหรับใส่ชื่อผู้เรียนและรหัสลับ
- รายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรมที่จำเป็นสำหรับการเรียกดูเนื้อหาอย่างสมบูรณ์
- ชื่อหน่วยงาน และวิธีการติดต่อกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ
- วันที่และเวลาที่ทำการปรับปรุงแก้ไขล่าสุด
- เคาน์เตอร์เพื่อนับจำนวนผู้เรียนที่มาเข้าเรียน
1.2 หน้าแสดงรายชื่อรายวิชา
หลังจากที่ผู้เรียนได้มีการเข้าสู่ระบบแล้ว ระบบจะแสดงชื่อรายวิชาทั้งหมดที่ผู้เรียนมีสิทธิ์เข้าเรียนในลักษณะ e-Learning
1.3 เว็บเพจแรกของแต่ละรายวิชา
- คำประกาศ/คำแนะนำการเรียนทาง e-Learning เฉพาะรายวิชา
- รายชื่อผู้สอน
- รายชื่อผู้เรียน
- ประมวลรายวิชา (Syllabus)
- ห้องเรียน (Classroom) ในที่นี้ได้แก่ บทเรียนหรือคอร์สแวร์
- เว็บเพจสนับสนุนการเรียน (Resources)
- ความช่วยเหลือ (Help)
- รายวิชาอื่น ๆ (Other Courses)
- เว็บเพจคำถามคำตอบที่พบบ่อย (FAQs)
- ลิงค์ไปยังส่วนของการจัดการการสอนด้านอื่น ๆ (Management )
- ลิงค์สำหรับการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น (Discussion)
- การออกจากระบบ
2. ระบบบริหารการจัดการรายวิชา (Course Management System)
ระบบบริหารจัดการรายวิชา ซึ่งเป็นเสมือนระบบที่รวบรวมเครื่องมือซึ่งออกแบบไว้เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการจัดการกับการเรียนการสอนออนไลน์
3. โหมดการติดต่อสื่อสาร (Mode of Communication)
การจัดให้ผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้สอน วิทยากร ผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ รวมทั้งผู้เรียนด้วยกัน ในลักษณะที่หลากหลาย และสะดวกต่อผู้ใช้ ซึ่งเครื่องมือที่ e-Learning ควรจัดหาให้ผู้เรียนได้แก่
3.1 การประชุมทางคอมพิวเตอร์ เช่น เว็บบอร์ด (Web Board), แช็ท (Chat) และการถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงสดผ่านทางเว็บ
3.2 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)
4. แบบฝึกหัด / แบบทดสอบ
การจัดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการโต้ตอบกับเนื้อหาในรูปแบบขอการทำแบบฝึกหัด และแบบทดสอบความรู้
- การจัดให้มีแบบฝึกหัดสำหรับผู้เรียน เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของตนเองไว้ด้วยเสมอ
- การจัดให้มีแบบทดสอบผู้เรียน สามารถอยู่ในรูปของแบบทดสอบก่อนเรียน ระหว่างเรียน หรือหลังเรียนก็ได้ และระบบบริหารจัดการรายวิชาทำให้ผู้สอนสามารถออกข้อสอบได้หลากหลายรูปแบบ อยู่ในลักษณะคลังข้อสอบไว้เพื่อเลือกในการนำกลับมาใช้ หรือปรับปรุงแก้ไขใหม่ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้การประเมินผลผู้เรียนเป็นไปได้อย่างสะดวก เพื่อน ๆ มีความคิดเห็นเหมือนกันมั้ยค่ะ
จากที่กล่าวมาสามารถสรุปความหมายของ E-Learning ได้คือ การเรียนรู้โดยถ่ายทอดเนื้อหาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งหมายรวมถึง อินเทอร์เน็ต(internet) อินทราเน็ต(intranet) เอ็กซทราเน็ต(Extranet) การถ่ายทอดผ่านดาวเทียม(satellite broadcast) วิทยุโทรทัศน์ แถบบันทึกเสียงและวีดีโอ (audio/video tape) โทรทัศน์แบบโต้ตอบ(interactive TV) และแผ่นซีดี-รอม (CD-ROM) บนฐานการเรียนรู้ทางเทคโนโลยี (Teahnology-based learning) ที่ครอบคลุมวิธีการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ เช่น การเรียนรู้บนคอมพิวเตอร์ (Computer-based learning) การเรียนรู้บนเว็บ(Web-based learning) ห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual classrooms)และความร่วมมือดิจิตัล(digital collaboration)
ระดับปฐมวัย เน้นในเรื่องการพัฒนาสมองของเด็กไทยอย่างจริงจัง เด็กไทยควรได้แร่ธาตุต่างๆ ... ระดับอุดมศึกษา ต้องจัดการศึกษาเชื่อมต่อกับระดับอาชีวศึกษา ... ขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ... เช่น ห้องวิทยาศาสตร์ ห้องสมุด ห้อง e-Learning สระว่ายน้ำ เป็นต้น โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพของโรงเรียนขนาดเล็ก
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาในประเทศไทย เริ่มต้นในสถาบันระดับอุดมศึกษา การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาในระยะแรกเป็นการใช้ในรูปแบบของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction: CAI) ต่อมาเมื่อมีเทคโนโลยีเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น จึงพัฒนาไปสู่การเรียนการสอนออนไลน์หรือ Web-Based Instruction (WBI) พัฒนาการของ E-Learning ในประเทศไทย ได้รับแรงขับเคลื่อนมาจากการกำหนดแผนและนโยบายระดับชาติอย่างชัดเจน เช่น กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศระยะที่ 1 และ 2 แผนแม่บทเทคโนโลยีและการสื่อสารของประเทศไทย พ.ศ. 2545-2549 และแผนแม่บทเทคโนโลยีและการสื่อสารเพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2547-2549 เป็นต้น
ปัญหาและอุปสรรคของ E-Learning ในประเทศไทยมีอยู่หลายด้าน เช่น ด้านบุคลากร (ทั้งผู้สอน ผู้ผลิต ผู้เรียน และผู้บริหาร) ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เนื้อหา ระบบบริหารจัดการการเรียน งบประมาณ และการบริหารจัดการ
ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากมองว่า ทิศทางของ E-Learning ในประเทศไทยจะต้องแพร่หลายมากขึ้น และปัจจัยที่จะมีผลต่อการพัฒนา E-Learning ในอนาคต คือ เทคโนโลยี ตลอดจนค่าตอบแทนและการปกป้องลิขสิทธิ์ของเจ้าของเนื้อหา
E-Learning จะทำให้ครูและผู้สอนมีบทบาทเปลี่ยนไปจากผู้สอน (Instructor) เป็นผู้ชี้แนะ (Facilitator) หรือผู้กำกับ ครูจำเป็นต้องมีการพัฒนาศักยภาพที่จะชี้แนะเด็กได้ ต้องปรับเปลี่ยนโลกทัศน์และกระบวนทัศน์ของตนเอง
เป้าหมายในอนาคตของ E-Learning จะเน้นไปที่นักศึกษาปริญญาโทและปริญญา
เอกมาก เพราะส่วนมากเป็นผู้ที่มีความต้องการและตั้งใจที่จะเข้ารับการศึกษา และมีความรับผิดชอบที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเองมากกว่า ระดับปริญญาตรีจะใช้ E-Learning เป็นภาคบังคับและถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร จะมีการขยาย E-Learning จากระดับอุดมศึกษาลงไปในระดับโรงเรียนมากขึ้น แต่จะค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนั้น การศึกษานอกระบบจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของ E-Learning ในอนาคต และจะมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าการศึกษาในระบบ เพราะประชาชนจะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยตนเองมากขึ้น
ค่านิยมและชื่อเสียงของสถาบันที่เปิดสอน E-Learning จะมีส่วนในการตัดสินใจของผู้เรียน แต่การใช้ E-Learning ในประเทศไทยสำหรับอนาคตอันใกล้ จะเป็นเพียงสื่อเสริมหรือสื่อเติมมากกว่าที่จะเป็นสื่อหลัก เพราะห้องเรียนยังมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง วัฒนธรรมไทยยังต้องการความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างผู้เรียนและผู้สอน อย่างไรก็ตาม E-Learning อาจใช้เป็นสื่อหลักได้สำหรับกลุ่มนักศึกษาที่มีภาระการงานและวุฒิภาวะสูง เช่น นักศึกษาระดับปริญญาเอกเป็น ต้น
เพิ่มแนวคิดนะครับ
การสร้างซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา คือ การสร้างโปรแกรมเพื่อทำให้เกิดการถ่ายทอดข้อมูลไปยังผู้เรียนกลุ่มต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสและช่องทางการเรียนรู้ให้กลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ซอฟต์แวร์แปลภาษา หรือ ซอฟต์แวร์เพื่อกลุ่มคนพิการ
ชยพล มุลาลี yiaw_civil_en@hotmail.com
ในการที่เราจะพัฒนาการศึกษาแบบ E-Learning ให้สูงขึ้น เราควรจะมองว่าระดับการศึกษา แบบ E-Learning สามารถทำได้แค่ไหนในสังคมไทย เนื่องจากการศึกษาระบบ E-Learning อาจพร้อมสำหรับสังคมเมือง แต่ในทางกับกันสังคมชนบทซึ่งห่างไกลความทันสมัยในเรื่องของเทคโนโลยีจะทำให้เกิดเป็นปัญหาตามมาหรือไม่
จากงานวิจัย ของ ดร. รัตนาภรณ์ ประวัติวัชรา
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์คือ
1. ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ e-Learning ของสถาบันอุดมศึกษา
ต่างๆ
2. ศึกษาสถานภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนของอาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
3. ศึกษาสถานภาพการนำระบบ e-Learning มาใช้ในการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
4. พัฒนารูปแบบระบบ e-Learning ที่เหมาะสมสำหรับการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้รับผิดชอบ ระบบการเรียนการสอนแบบ e-Learning จากสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ที่กำลังดำเนินการจัดการเรียนการสอนแบบ e-Learning จำนวน 4 คน อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จำนวน 74 คน และนักศึกษาทั้งระดับปริญญาโทและปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จำนวน 330 คน
บทบาทของคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นต้องนำมาใช้ในการศึกษา แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. คอมพิวเตอร์เพื่อการบริหาร (computer Applications into Administration) การบริหารการศึกษานับเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทาง นโยบาย อันนำไปสู่แนวทางปฏิบัติในการจัดการศึกษา ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น สิ่งสำคัญในการที่จะช่วยให้บริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพก็คือความพร้อมของข้อมูลในการบริหารจัดการเพื่อการตัดสินใจและกำหนดนโยบายการศึกษา คอมพิวเตอร์จึงเข้ามามีบทบาทในการบริหารการศึกษามากขึ้น ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่ชัดเจนถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สรุปได้ดังนี้
1.1 การบริหารงานทั่วไป เป็นการนำคอมพิวเตอร์ช่วยในการบริหารงานบุคคล งานธุรการ การเงินและบัญชีการประชาสัมพันธ์ รวมถึงการจัดทำระบบฐานข้อมูล (Management Information System :MIS) เพื่อประโยชน์ในการวางแผนและบริหารการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
1.2 งานบริหารการเรียนการสอน เป็นการนำคอมพิวเตอร์ช่วยในการบริหารของครูผู้สอนนอกเหนือจากงานด้านการสอนปกติ เช่น งานทะเบียน งานด้านเอกสาร การจัดตารางสอน ตารางสอบ การตรวจและการเก็บรวบรวมคะแนน การสร้าง-วิเคราะห์ข้อสอบ การวัดและประเมินผลการเรียน เป็นต้น
2. คอมพิวเตอร์เพื่อการจัดการเรียนการสอน (Computer -Managed Instruction)
การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้ครูผู้สอนไม่ต้องเสียเวลากับการงานบริหาร ครูผู้สอนจะได้มีเวลาไปปรับปรุงบทเรียนให้ทันสมัยและมีเวลาให้กับนักเรียนมากขึ้น เช่น การจัดเลือกข้อสอบ การตรวจและให้คะแนนและวิเคราะห์ข้อสอบ การเก็บประวัตินักเรียนเฉพาะวิชาที่สอนเพื่อดูพัฒนาการด้านการเรียนและการให้คำปรึกษา และช่วยในการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการเรียนการสอนของวิชาที่สอน รวมถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการเรียนการสอนจะทำให้ครูผู้สอนสามารถวิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของผู้เรียน
3. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer -Assisted Instruction : CAI)
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียน แบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) คือสามารถ โต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้ เช่นเดียวกับการสอนระหว่างครูกับนักเรียนที่อยู่ในห้องตามปกติ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีหลายประเภทตามวัตถุประสงค์ที่จะให้นักเรียนได้เรียน กล่าวคือ ประเภทติวเตอร์ ประเภทแบบฝึกหัด ประเภทการจำลอง ประเภทเกม ประเภทแบบทดสอบซึ่งในแต่ละประเภทก็มีจุดมุ่งหมายในการให้ความรู้แก่ผู้เรียนแต่วิธีการที่แตกต่างกันไป ข้อดีของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนคือช่วยลดความแตกต่างระหว่างผู้เรียน เช่นผู้ที่มีผลการเรียนต่ำ ก็สามารถชดเชยโดยการเรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ และสำหรับผู้มีผลการเรียนสูงก็สามารถเรียนเสริมบทเรียนหรือเรียนล่วงหน้าก่อนที่ผู้สอนจะทำการสอนก็ได้
เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์กับการศึกษาไทย
ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งถือว่าเป็นยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกในหลายๆด้านทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอันนำไปสู่การปรับตัวเพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ทุกประเทศทั่วโลกกำลังมุ่งสู่กระแสใหม่ของการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า สังคมความรู้ (KnowledgeSociety) และระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-Based Economy) ที่จะต้องให้ความสำคัญต่อการใช้ความรู้และนวัตกรรม (Innovation) เป็นปัจจัยในการพัฒนาและการผลิตมากกว่าการใช้เงินทุนและแรงงาน
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้ ซึ่งประกอบกันเป็น "สารสนเทศ" นั้น สามารถลื่นไหลได้สะดวก รวดเร็ว จนสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ระดับบุคคลขึ้นไปถึงระดับองค์กรอุตสาหกรรม ภาคสังคม ตลอดจนในระดับประเทศและระหว่างประเทศ จนกระทั่งภาวะ "ไร้พรหมแดน" อันเนื่องมาจากอิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าว ได้เกิดขึ้นในกิจกรรมและวงการต่างๆ และนับเป็นความกลมกลืนสอดคล้องกันอย่างยิ่ง ที่การพัฒนาบุคลากรในสังคมอันประกอบด้วยภาคการศึกษา และการฝึกอบรมเป็นเรื่องราวของการเรียนรู้สารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นข้อมูล (Data) ข่าวสาร (Information)ก็ตาม ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นเครื่องมือที่สามารถนำประโยชน์มาสู่วงการศึกษา ได้อย่างเหมาะสมหากรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์และคุ้มค่าต่อการลงทุน (ไพรัช ธัชยพงษ์และพิเชษ ดุรงคเวโรจน์ .2541)
เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ อุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงอย่างหนึ่งที่นับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งได้แก่ "คอมพิวเตอร์"(Computer) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกวงการ โดยเฉพาะวงการศึกษาได้นำคอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นในด้านการบริหาร การบริการ และการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน เป็นต้น
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525 ได้ให้ความหมายของ "คอมพิวเตอร์" ไว้ว่า"เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานแทนมนุษย์ในด้านการคำนวณและสามารถจำข้อมูลทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้ เพื่อการเรียกใช้งานครั้งต่อไป รวมทั้งสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ (Symbol) ได้ด้วยความเร็วสูงโดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม นอกจากนี้ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลไว้ในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ (ตวงแสง ณ นคร .2542)
คอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ในวงการศึกษา หรืออาจเรียกว่า คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา (Computer-Based Education, Instructional Computer : IC, Computer-Based Instruction : CBI) มีความหมายเหมือนกันคือ การนำคอมพิวเตอร์ มาใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษา ไม่ว่าจะ เป็นการจัดการเรียนการสอน การลงทะเบียน การจัดทำบัตรนักศึกษา การจัดทำผลการเรียนการสอนรวมไป จนถึงการออกใบรับรองการจบหลักสูตร
Robert Taylor นักเทคโนโลยีการศึกษา ได้แบ่งการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา ไว้ในหนังสือ the Computer in the School : Tutor, Tutee โดยได้แบ่งการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในโรงเรียนออกเป็น 3 ลักษณะคือ การใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะของติวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะของอุปกรณ์ การเรียนการสอนและการใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะของผู้เรียน (ดิเรก ธีระภูธร .2545)
การจัดการศึกษารูปแบบ e-learning นี้ เป็นการสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก ผู้เรียนสามารถเข้าถึง ควบคุมกระบวนการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง (Self-Directed Learning) กระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ เป็นการเรียน รู้ในลักษณะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered Learning) ด้วยวิธีการที่หลากหลายสนองต่อกลไกการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ และสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานการศึกษาเดียวกัน เรียนรู้ได้ทุกเวลา เข้าถึงสาระเนื้อหาได้ในทุกสถานที่ (anyone-anywhere-anytime learning) โดยใช้กลไกของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ข้อควรปฏิบัติในการใช้อินเตอร์เน็ต 10 ข้อ
1.Remember the human
1.1 เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าปฏิบัติต่อคนอื่นในสิ่งที่เราไม่ต้องการให้คนอื่นปฎิบัติต่อเรา
1.2 ในอินเตอร์เน็ตเราไม่ได้คุยกันแบบเผชิญหน้าดังนั้น สิ่งที่เราใช้ในการสื่อสารสำคัญนั้น คือ คำพูดดังนั้นจึงควรใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมและสื่อความหมายได้ชัดเจน
1.3 ประโยคคำพูดต่าง ๆ ที่พิมพ์ออกไปในเครือข่าย สามารถถูกบันทึก และส่งต่อไปยังบุคคลอื่นได้ ดังนั้น จึงต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นมา จากคำพูดนั้น ๆ
2. Adhere to the same standards of behavior online that you follow in real life
2.1 ประพฤติตนเช่น เดียวกันกับที่ประพฤติปฎิบัติอยู่ในชีวิตจริง
2.2 ในเครือข่ายนั้นมาตรฐานในการปฎิบัติตน อาจต่างกันไปในแต่ละเครือข่ายแต่โดยรวมแล้วไม่ต่างไปจากข้อพึงปฏิบัติที่เราใช้กันในชีวิตจริง ทั้งในแง่ของจริยธรรมและกฎหมาย
3. Know where you are in cyberspace
3.1 มารยาทในการใช้เครือข่ายจะแตกต่างกันไปในแต่ละเครือข่าย จึงต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังใช้เครือข่ายที่ใดอยู่
3.2 รู้จักเวลา และสถานที่ ก่อนที่จะเจ้าร่วมในกลุ่มสนทนาควรจะลองสังเกตเหตุการณ์และบทสนทนาก่อนหน้านั้นก่อนว่า หัวข้อสนทนานั้นเกี่ยวกับอะไร และสามารถเข้าร่วมสนทนาได้ด้วยหรือไม่
4.Respect other people s time and bandwidth
4.1 bandwidth คือ ความสามารถในการส่งข้อมูลของสายสัญญาณ ที่เชื่อมต่อระหว่างคนแต่ละคนในเครือข่าย และยังหมายถึงความสามารถในการเก็บข้อมูลของระบบที่ให้บริการอีกด้วย
4.2 เมื่อเราทำการส่งเมลล์ไปยังกลุ่มสนทนา เราควรจะแน่ใจว่าไม่เป็นการรบกวนเวลาและBandwidthของคนอื่น
4.3 อย่าคาดหวังว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับเรา
4.4การส่งข้อความลงไปยังกลุ่มสนทนาควรจะเขียนหัวข้อเรื่องอย่างชัดเจน เพื่อเป็นการสะดวกต่อผู้ที่ได้รับ
4.5 ส่งข้อความไปยังบุคคลที่เราต้องการจะให้ทราบข่าวสารนั้นจริง ๆ ไม่ส่งพร่ำเพรื่อ
5.make yourself look good online
5.1 ใช้คำพูดที่ถูกต้องสละสลวย และเหมาะสมกับเวลาและสถานที่
5.2 คิดก่อนพูด เพราะประโยคที่พูดหรือพิมพ์อาจเกิดผลกระบตามมมาภายหลังได้
5.3 ไม่ใช้คำพูดในเชิงลบ ได้แก่คำพุดที่ส่อเสียด หยาบคาย อนาจาร
6.share expert knowledge
6.1 แบ่งปันความรู้ที่มี
6.2 แสดงความเห็นและเสนอแนะต่อคนอื่น
7. help keep flame wars under control
7.1 flaming ได้แก่คำพูดที่เราพูดเมือต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างแรงกล้าโดยใส่อารมณ์ลงไปด้วย คำพูดแบบนี้จะทำให้คนฟังเกิดปฎิกิริยาโต้ตอบ
7.2 ต้องช่วยกันควบคุมสิ่งที่เราเรียกว่า flame warsได้แก่ จม.ยุยงให้เกิดความเสียหายและบาดหมางใจกันในกลุ่ม
8.Respect other people s privacy
8.1 เคารพสิทธิส่วนบุคคล เช่น ไม่อ่าน เมลล์ของคนอื่น
8.2การละเมิดสิทธิ์บุคคลอื่นเป็นมารยาทที่แย่มากในการใช้เครือข่าย
9.Don t abuse your power
ไม่ใช้สิทธิ์ที่มีเหนือคนอื่นในทางที่ผิด เช่น เป็นคนมีความสามารถและเชี่ยวชาญ ในการลักลอบเข้าใช้ระบบต่าง ๆ เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
10.Be forgiving of other people s mistakes
ให้อภัยในความผิดคนอื่น ไม่มีใครไม่เคยทำผิด ดังนั้นเมื่อใครทำสิ่งไม่ถูกต้องควรแนะนำให้เขาแก้ให้ถูกต้อง โดยอาจแนะผ่าน mail ไปยังผู้นั้นโดยตรง
E-learning มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
เอื้ออำนวยให้กับการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ รวมทั้งบุคคล
ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องการเรียนและสอนในเวลาเดียวกัน
ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องมาพบกันในห้องเรียน
ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน และผู้สอนที่ไม่พร้อมด้านเวลา ระยะทางในการเรียนได้เป็นอย่างดี
ผู้เรียนที่ไม่มีความมั่นใจ กลัวการตอบคำถาม ตั้งคำถาม ตั้งประเด็นการเรียนรู้ในห้องเรียน มีความกล้ามากกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องแสดงตนต่อหน้าผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้น โดยอาศัยเครื่องมือ เช่น E-Mail, Webboard, Chat, Newsgroup แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
ข้อเสีย
ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึก ปฏิกิริยาที่แท้จริงของผู้เรียนและผู้สอน
ไม่สามารถสื่อความรู้สึก อารมณ์ในการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง
ผู้เรียน และผู้สอน จะต้องมีความพร้อมในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ทั้งด้านอุปกรณ์ ทักษะการใช้งาน
ผู้เรียนบางคน ไม่สามารถศึกษาด้วยตนเองได้
ดังนั้น การพิจารณาจะใช้การศึกษาแบบE-learningจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย
-เลิร์นนิ่ง ไม่ได้เป็นเพียงการ เรียนโดยการรับความรู้หรือเรียนรู้อะไรเท่านั้น แต่เป็นการเรียน "วิธี การเรียนรู้" หรือเรียนอย่างไร ผู้เรียน ในระบบการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จะเป็น คนที่มี ความสามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง เนื่องจากอี-เลิร์นนิ่งไม่มีผู้ สอนที่คอย ป้อนความรู้ให้เหมือนกับการศึกษาในห้องเรียน ดังนั้น ผู้เรียนจึงได้รับ การฝึกฝน ทักษะในการค้นหาข้อมูล การเรียนรู้วิธีการเข้าถึงแหล่งความรู้ การเลือก วิธีการ เรียนรู้ และวิธีการประมวลความรู้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ การที่ คนมีความ สามารถในการ เรียนรู้ จะทำให้เกิดการพัฒนาอาชีพและการพัฒนา คุณภาพชีวิตของตน เอง ซึ่ง หากประเทศชาติมีประชาชนที่มีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตน เอง เป็นส่วน ใหญ่ จะทำให้เกิดผลดีต่อประเทศในแง่ของการสร้างองค์ความรู้ ของคน ไทย และ การพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาความสามารถใน การคิด
การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาทางความคิดมากกว่าการฟังการบรรยายใน ห้องเรียน เนื่องจากเป็น การสื่อสารแบบสองทางและมีรูปแบบของการเรียนรู้ที่ หลากหลาย การศึกษาทาง ไกล (distance learning) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จะ กระตุ้นและเอื้อให้เกิดการ วิพากษ์อย่างมีเหตุผล (critical reasoning) มากกว่าการศึกษาในห้อง เรียนแบบ เดิม เพราะมีการปฏิสัมพันธ์ทางความคิดระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง นอก จากนี้ การ ศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่านักศึกษาทางไกลระบบออนไลน์ (online students) ได้มีการ ติดต่อกับผู้เรียนคนอื่นๆ ในชั้นเรียนมากกว่าเรียนรู้ด้วยความ สนุกมากกว่า ให้เวลา ในการทำงานในชั้นเรียนมากกว่า มีความเข้าใจสื่อการสอนและ การปฏิบัติมากกว่า ผู้เรียนที่ได้รับการสอนในชั้นเรียนแบบเดิมโดยเฉลี่ยร้อยละ 20 อี-เลิร์ นนิ่งทำให้ เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ ผู้เรียนจะมีการปฏิสัมพันธ์กับข้อมูล และความรู้ จำนวน มาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการต่อยอดความรู้ หรือทำให้เกิดความคิด ใหม่ๆ และ การสร้างนวัตกรรมอันเป็นปัจจัยในการแข่งขันที่สำคัญมากที่สุดใน การ แข่งขันใน เศรษฐกิจยุคใหม่
การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นช่องทางในการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ที่รัฐบาลและองค์การต่างๆไม่ ควรมอง ข้าม เนื่องจากประสิทธิภาพ ในการพัฒนาการเรียนรู้ และความเหมาะสม กับ โลกยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอี-เลิร์นนิ่งในประเทศไทยยังมีข้อจำกัดมาก ไม่ ว่าจะเป็น ความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ความไม่ เพียงพอ ของฮาร์ดแวร์ (hardware) การขาดแคลนซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพและ ขาด เนื้อหาที่ หลากหลาย และความไม่พร้อมของบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และผู้ เรียน รวมทั้งบริบทแวดล้อมอื่นๆที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น กฎหมาย และวัฒนธรรม การ เรียนรู้ในสังคม เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเริ่มต้นการพัฒนาการเรียนรู้ ผ่านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วันนี้ โดยใช้ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมแล้ว คงไม่สาย เกินไปที่ คนไทยจะได้รับการพัฒนาทันกับพัฒนาการของโลก ในอนาคต
11.1 ความหมายของ e-Learning
e-Learning (Electronic learning) คือ การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ความหมายของ E-learning ถูกตีความต่างกันไปตามประสบการณ์ของแต่ละคน แต่มีส่วนที่เหมือนกันคือใช้เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ โดยมีการพัฒนาตลอดเวลา ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สำหรับผู้เขียนให้ความหมายของ E-learning ว่าเป็น "การใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตเข้ามาส่งเสริมการเรียน การสอน ให้เกิดประสิทธิผล"
คำว่า E นั้นย่อมาจาก Electronic ส่วนคำว่า learning มีความหมายตรงตัวว่าการเรียนรู้ เมื่อนำมารวมกันหมายถึงการเรียนรู้โดยใช้ electronic หรือ internet เป็นสื่อ คำที่มีความหมายใกล้เคียงเช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI = Computer Assisted Instruction) หรือ การสอนบนเว็บ (WBI = Web-based Instruction)
11.2 องค์ประกอบของ e-Learning
1. ระบบจัดการการศึกษา (Management Education System)
ไม่ว่าระบบใดในโลกก็ต้องมีการจัดการ เพื่อทำหน้าที่ควบคุม และประสานงาน ให้ระบบดำเนินไปอย่างถูกต้อง องค์ประกอบนี้สำคัญที่สุด เพราะทำหน้าที่ในการวางแผน กำหนดหลักสูตร ตารางเวลา แผนด้านบุคลากร แผนงานบริการ แผนด้านงบประมาณ แผนอุปกรณ์เครือข่าย แผนประเมินผลการดำเนินงาน และทำให้แผนทั้งหมด ดำเนินไปอย่างถูกต้อง รวมถึงการประเมิน และตรวจสอบ กระบวนการต่าง ๆ ในระบบ และนำหาแนวทางแก้ไข เพื่อให้ระบบดำเนินต่อไปด้วยดี และไม่หยุดชะงัก
2. เนื้อหารายวิชา เป็นบท และเป็นขั้นตอน (Contents)
หน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอนคือ การเขียนคำอธิบายรายวิชา วางแผนการสอน ให้เหมาะสมกับเวลา ตรงกับความต้องการของสังคม สร้างสื่อการสอนที่เหมาะสม แยกบทเรียนเป็นบท มีการมอบหมายงานเมื่อจบบทเรียน และทำสรุปเนื้อหาไว้ตอนท้ายของแต่ละบท พร้อมแนะนำแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติมให้ไปศึกษาค้นคว้า
3. สามารถสื่อสารระหว่างผู้เรียน และผู้สอน หรือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน (Communication)
ทุกคนในชั้นเรียนสามารถติดต่อสื่อสารกัน เพื่อหาข้อมูล ช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือตอบข้อซักถาม เพื่อให้การศึกษาได้ประสิทธิผลสูงสุด สื่อที่ใช้อาจเป็น E-mail, โทรศัพท์, Chat board, WWW board หรือ ICQ เป็นต้น
ผู้สอนสามารถตรวจงานของผู้เรียน พร้อมแสดงความคิดเห็นต่องานของผู้เรียน อย่างสม่ำเสมอ และเปิดเผยผลการตรวจงาน เพื่อให้ทุกคนทราบว่า งานแต่ละแบบมีจุดบกพร่องอย่างไร เมื่อแต่ละคนทราบจุดบกพร่องของตน จะสามารถกลับไปปรับปรุงตัว หรืออ่านเรื่องใดเพิ่มเติมเป็นพิเศษได้
4. วัดผลการเรียน (Evaluation)
(ต่อ) 4. วัดผลการเรียน (Evaluation)
งานที่อาจารย์มอบหมาย หรือแบบฝึกหัดท้ายบท จะทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ และเข้าใจเนื้อหาวิชามากขึ้น จนสามารถนำไปประยุกต์ แก้ปัญหาในอนาคตได้ แต่การจะผ่านวิชาใดไป จะต้องมีเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อวัดผลการเรียน ซึ่งเป็นการรับรองว่าผู้เรียนผ่านเกณฑ์ จากสถาบันใด ถ้าไม่มีการสอบก็บอกไม่ได้ว่าผ่านหรือไม่ เพียงแต่เข้าเรียนอย่างเดียว จะไม่ได้รับความเชื่อถือมากพอ เพราะเรียนอย่างเดียว ผู้สอนอาจสอนดี สอนเก่ง สื่อการสอนยอดเยี่ยม แต่ผู้เรียนนั่งหลับ หรือโดดเรียน ก็ไม่สามารถนำการรับรองว่าเข้าเรียนนั้น ได้มาตรฐาน เพราะผ่านการอบรม มิใช่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจากการสอบ ดังนั้นการวัดผลการเรียน จึงเป็นการสร้างมาตรฐาน ที่จะนำผลการสอบไปใช้งานได้ ดังนั้น E-learning ที่ดีควรมีการสอบ ว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่
อ้างอิงจากhttp://www.thaiall.com/internet/internet11.htm
เวลาของการศึกษาออนไลน์ - การศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ได้เจริญเติบโตไปทั่วทุกมุมโลก แนวโน้ม
ของเทคโนโลยีดีขึ้น เร็วขึ้นและให้ผลตอบแทนที่มากขึ้นทำให้เกิดความต้องการที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ระบบการศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์กำลังพัฒนามาสู่แอพพลิเคชั่น รูปแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เสมอ
อนาคตของระบบการศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับการศึกษาทางอิเล็ก
ทรอนิกส์จะเติบโตและเป็นที่แพร่หลายก็คือ การที่ระบบเครือข่ายมีเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการนำเสนอระบบ
การเรียนการสอนที่น่าสนใจเช่น การใช้เสียงส่งสัญญาณวีดีโอตามความต้องการ ( Video on demand)
และการประชุมผ่านสัญญาณวีดีโอ ในขณะเดียวกันก็ให้บริการที่เชื่อถือได้
ประเภทของe-learning แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
1. Synchronous - ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ในเวลาเดียวกัน เป็นการเรียนแบบเรียลไทม์ เน้นผู้เรียน
เป็นศูนย์กลาง เช่นห้องเรียนที่มีอาจารย์สอนนักศึกษาอยู่แล้วแต่นำไอทีเข้ามาเสริมการสอน
2 . Asychronous- ผู้เรียนและผู้สอนไม่ได้อยู่ในเวลาเดียวกันไม่มีปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์
เน้นศูนย์กลางที่ผู้เรียนเป็นการเรียนด้วยตนเองผู้เรียน เรียนจากที่ใดก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเข้าไป
ยังโฮมเพจเพื่อเรียน ทำแบบฝึกหัดและสอบ มีห้องให้สนทนากับเพื่อร่วมชั้นมีเว็บบอร์ดและอีเมล์ให้ถาม
คำถามผู้สอน แต่ละประเภทก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป
ข้อดี ของ Synchronous คือ ได้บรรยากาศสด ใช้กับกรณีผู้สอนมีผู้ต้องการเรียนด้วยเป็นจำนวนมาก
และสามารถประเมินจำนวนผู้เรียนได้ง่าย
ข้อเสีย ของ Synchronous คือ กำหนดเวลาในการเรียนเองไม่ได้ต้องเรียนตามเวลาที่กำหนดของคน
กลุ่มใหญ่
ข้อดี ของ Asynchronous คือ ผู้เรียน เรียนได้ตามใจชอบ จะเรียนจากที่ไหน เวลาใด ต้องการเรียน
อะไรหรือให้ใครเรียนด้วยก็ได้
ข้อเสีย ของ Asynchronus ไม่ได้บรรยากาศสด การถามด้วย chat หรือเว็บบอร์ดอาจไม่ได้รับการตอบ
กลับ
E – learning ในสถานศึกษา สามารถใช้ได้กับสถานศึกษา เริ่มจากที่มหาวิทยาลัย อาจารย์ให้นักศึกษา
รับการบ้าน ส่งการบ้านทางอินเทอร์เน็ต มีการพัฒนานำเนื้อหาไว้ที่โฮมเพจของมหาวิทยาลัยให้นักศึกษาเข้า
มาเรียนจากบ้านได้
ประโยชน์จาก E-learning
1 ความรู้ไม่สูญหายไปกับคนเพราะสามารถเก็บไว้ได้
2 ประหยัดเวลาเดินทางและค่าใช้จ่าย
3 ผู้เรียนเลือกได้ว่าต้องการเรียนกับอาจารย์ท่านใดหรือหลายท่านก็ได้
ในปัจจุบันสื่อคอมพิวเตอร์ ได้เข้ามามีบทบาทในฐานะทางเลือกใหม่ในการสื่อสารเพื่อการศึกษาอย่างรวดเร็ว และสื่อคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการกล่าวถึงในแทบทุกการประชุมระดับนานาชาติ ก็คือ การจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่า บทเรียน E - Learning ซึ่งเป็นการเรียนการสอนบนระบบเครือข่าย ที่เป็นการผนวกเอาคุณสมบัติของไฮเปอร์มีเดียเข้ากับคุณสมบัติของเครือข่าย เวิลด์ ไวด์ เว็บ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนในมิติที่ไม่มีขอบเขตจำกัดด้วยระยะทางและเวลาที่แตกต่างกันของผู้เรียน (Learning Without Boundary) การใช้ คุณสมบัติของไฮเปอร์มีเดียในการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายนั้น หมายรวมถึงการสนับสนุนด้านศักยภาพการเรียนด้วยตนเองตามลำพัง(One Alone) ที่ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนตามกำหนดเวลาที่เหมาะสมและสะดวกของตนเอง (Criss-Crossed Landscape) ซึ่งลดข้อจำกัดเรื่องความแตกต่างของเวลาและสถานที่ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนได้ อันเป็นการขยายโอกาสในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คุณสมบัติเด่นอีกประการหนึ่งของบทเรียน E - Learning ก็คือ สามารถนำกิจกรรมการเรียนที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับ บทเรียนโดยตรงมาบรรจุไว้ในบทเรียนได้ ซึ่งเป็นการทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ของผู้เรียนเองและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น
จากความสำคัญของปัญหาที่ผู้เรียนส่วนใหญ่มีความคงทนในการเรียนรู้ลดลง และคุณค่าของการเรียนในบทเรียน E - Learning ซึ่งเป็นสื่อกลางที่ขยายโอกาสในการเรียนรู้ และสามารถถ่ายทอดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ คณะผู้วิจัยจึงเห็นความสำคัญที่จะดำเนินการศึกษา การพัฒนาบทเรียน ปฏิสัมพันธ์ E - Learning โดยใช้กรอบมโนทัศน์เพื่อพัฒนาความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องการ สื่อสารมวลชน นี้ขึ้น เพราะการสื่อสารมวลชนมีความสำคัญโดยเป็นทั้งเครื่องมือและวิธีการที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงกับมนุษย์ ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้จะมีประโยชน์กับผู้เรียนและ ผู้ที่สนใจ ตลอดทั้งมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนว่า เป็นการปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ที่ควบคู่กับการจัดให้มีแหล่งเรียนรู้อย่างเพียงพอ อันจะนำไปสู่การยกระดับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ส่งเสริมให้ใช้สื่อเพื่อการศึกษาทุกรูปแบบ โดยกระจายสู่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายที่มีประโยชน์ต่อผู้เรียนและผู้ที่สนใจ ในการนำความรู้ที่ได้รับไปใช้พัฒนาตนเองและวิชาชีพต่อไป
การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า และแก้ไขปัญหาต่างๆ เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการที่ช่วยทำให้คนพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต ซึ่งปัจจัยพื้นฐานของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่สำคัญก็คือ กระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงซึ่งเป็นการทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้บรรลุการเสริมสร้าง ขีดความสามารถในการพัฒนาคุณภาพของคน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2545 -2549 จึงกำหนดวัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาคุณภาพคนไว้ว่า ต้องพัฒนาคนให้มี คุณภาพ คิดเป็น ทำเป็น มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีวิธีคิดอย่างมีเหตุผล รวมทั้งสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาผสมผสานให้เกิดความสมดุลในการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยส่งเสริม ให้มีการปรับกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างแท้จริง และอย่างต่อเนื่อง
กระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง นอกจากจะต้องอาศัยยุทธวิธีในรูปแบบการเรียนต่างๆ เพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วการเรียนต่างๆ ยังจำเป็นต้องอาศัยความคงทนในการเรียนรู้ ซึ่งหมายถึงความสามารถที่จะระลึกได้ถึงสิ่งที่เคยเรียนมาก่อน เป็นเครื่องช่วยบันทึกการเรียนรู้เหล่านั้นเข้าไปไว้ในสมอง ความคงทนในการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับความคงทนในการเรียนรู้ก็คือ เวลา ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานการวัดความคงทนในการเรียนรู้ของคนคือ ความคงทนในการเรียนรู้จะเหลือน้อยลงถ้าเวลาผ่านไปนาน คือหลังจากการเรียนรู้ประมาณ 1 ชั่วโมง ความคงทนในการเรียนรู้จะลดลงถึงร้อยละ 50 และเหลือเพียงร้อยละ 10 เมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ (Baddely. 1997) ความคงทนในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้เรียนมานั้นจะลดลงเรื่อยๆ แต่จะช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน คุณสมบัติของสิ่งเร้า หรือสิ่งที่นำมาเสนอต่อผู้เรียน สิ่งต่างๆดังกล่าวนี้ต่างมีผลที่จะทำให้ความคงทนในการเรียนรู้คงอยู่ได้ด้วยระยะเวลาที่ต่างกัน ซึ่งถ้าสามารถจัดสิ่งเร้าต่างๆ ดังที่กล่าวมาได้อย่างเหมาะสมกับผู้เรียนแล้ว จะมีผลให้ความคงทนในการเรียนรู้อยู่ได้นาน (Eysenck. 1995 )
1. ปัญหาการพัฒนา e-Learning ในประเทศไทย
การพัฒนา WBI และ e-Learning ในประเทศไทย ต่างก็ประสบปัญหาต่างๆ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1.1 ปัญหาการสนับสนุนด้านงบประมาณและบุคลากร และการสนับสนุนจากผู้บริหาร
1.2 ปัญหาการขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี e-Learning และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
1.3 ปัญหาเรื่องราคาของซอฟต์แวร์ CMS/LMS และการละเมิดลิขสิทธิ์
1.4 ปัญหาเรื่องทีมงานดำเนินการ ทั้งด้านความรู้, การคิดสร้างสรรค์ และเงินสนับสนุน
1.5 ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะนำเสนอ ทั้งแหล่งที่มา ผลตอบแทน และการละเมิดเมื่อเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์
1.6 ปัญหาเกี่ยวกับ Infrastructure ของประเทศ ที่ยังขาดความพร้อม
1.7 ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการพัฒนาเว็บภาษาไทย ทั้งการเข้ารหัส การใช้ฟอนต์ และรูปแบบ
1.8 ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดทำระบบ CMS/LMS
ลองพิจารณาความหมายของ eLearning ที่มีผู้ให้คำจำกัดความไว้ ดังนี้:
Bank of America Securities: eLearning คือการมาบรรจบกันของการเรียนและอินเทอร์เน็ต
Cornelia Weggen, WR Hambrecht & Co: eLearning [คือ] การส่งเนื้อหาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิคทั้งมวล ซึ่งหมายรวมถึงอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต ดาวเทียม วิทยุโทรทัศน์ ออดีโอ/วิดีโอเทป TV แบบโต้ตอบ และ CD-ROM
Elliott Masie, The Masie Center: eLearning คือการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเครือข่ายเพื่อออกแบบ นำส่ง เลือก บริหารจัดการ และขยายขอบเขตของการเรียนออกไป
Arista Knowledge Systems: eLearning คือการใช้พลานุภาพของเครือข่ายเพื่อให้การเรียนเกิดขึ้นได้ในทุกเวลา ทุกสถานที่
ChulaOnline: ทางเลือกหนึ่งในปัจจุบันที่มีขึ้นเพื่อพัฒนาระบบการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ ช่วยให้ผู้เรียนซึ่งอยู่ในจุดที่ห่างไกลจากผู้สอนสามารถที่จะเรียนเนื้อหาวิชา หลักสูตรต่างๆได้อย่างไม่จำกัดสถานที่และเวลา
Thai2Learn: การศึกษาโดยใช้สื่อการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต หรือ ซีดี รอม โดยมีระบบคอมพิวเตอร์รองรับ เพื่อให้ผู้เรียน สามารถได้เรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการ และอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนในการเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา
iKnow: ระบบที่มีกระบวนการเรียนการสอนที่ใช้ Electronic อาจเป็นได้ทั้ง offline, online, server-based, web-based หรือ เครื่องที่ใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เช่น เครื่องวิทยุ - เทป - ซีดีรอม - TV - computer และแม้กระทั่งผ่านระบบดาวเทียม ปัจจุบันเป็นที่เข้าใจว่า e-Learning หมายถึงการศึกษาระบบที่ใช้ Internet technology เป็นหลัก
Thailand Securities Institute (TSI): E เป็นอักษรย่อของคำว่า Electronics (อิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งเมื่อรวมกับคำว่า Learning ที่แปลว่า การเรียนรู้ ก็จะได้คำจำกัดความของ E-Learning คือ ระบบหรือกระบวนการเรียนรู้ หรือการเรียนการสอน ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ วิดีโอ ซีดีรอม ระบบดาวเทียม ระบบ LAN และ Internet
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์: การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-เลิร์นนิ่ง (e-learning) หมายถึง การเรียนรู้บนฐานเทคโนโลยี (Technology-based learning) ซึ่งครอบคลุมวิธีการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ อาทิ การเรียนรู้บนคอมพิวเตอร์ (computer-based learning) การเรียนรู้บนเว็บ (web-based learning) ห้องเรียนเสมือนจริง (virtual classrooms) และความร่วมมือดิจิทั่ล (digital collaboration) เป็นต้น ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท อาทิ อินเทอร์เน็ต (internet) อินทราเน็ต (intranet) เอ็กซ์ทราเน็ต (extranet) การถ่ายทอดผ่านดาวเทียม (satellite broadcast) แถบบันทึกเสียงและวิดีทัศน์ (audio/video tape) โทรทัศน์ที่สามารถโต้ตอบกันได้ (interactive TV) และซีดีรอม (CD-ROM)
ดร.ไพฑูรย์ ศรีฟ้า: E-Learning คือ การเรียนการสอนทางไกลที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง World Wide Web ซึ่งผู้เรียนและผู้สอนใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลมากมายที่มีอยู่ทั่วโลกอย่างไร้ขอบเขตจำกัด ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมหรือแบบฝึกปฏิบัติต่างๆ แบบออนไลน์ โดยใช้เครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกอยู่ใน WWW เป็นการเรียนการสอนออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะไม่มีขีดจำกัดเรื่องระยะทาง เวลา และสถานที่ อีกทั้งยังสนองตอบต่อศักยภาพและความสามารถของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
ดร.ชุณหพงศ์ ไทยอุปถัมภ์: การนำเอาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมในการเรียนการสอน โดยผ่านทางอินเตอร์เน็ตและจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ซึ่งจะเน้นให้มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสื่อ ผู้เรียนกับผู้สอน และผู้เรียนด้วยกันเป็นหลัก ทั้งยังส่งเสริม การเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นระบบการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น ผู้เรียนสามารถควบคุมจังหวะการเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้
สุกัญญา มนตรี กล่าวว่า
ประโยชน์ของ e-Learning ::
ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเนื้อหา และ สะดวกในการเรียน
การเรียนการสอนผ่านระบบ e-Learning นั้นง่ายต่อการแก้ไขเนื้อหา และกระทำได้ตลอดเวลา เพราะสามารถกระทำได้ตามใจของผู้้สอน เนื่องจากระบบการผลิตจะใช้ คอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบหลัก นอกจากนี้ผู้เรียนก็สามารถเรียนโดยไม่จำกัดเวลา และสถานที่
เข้าถึงได้ง่าย
ผู้เรียน และผู้สอนสามารถเข้าถึง e-learning ได้ง่าย โดยมากจะใช้ web browser ของค่ายใดก็ได้ (แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ผลิตบทเรียน อาจจะแนะนำให้ใช้ web browser แบบใดที่เหมาะกับสื่อการเรียนการสอนนั้นๆ) ผู้เรียนสามารถเรียนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใดก็ได้ และในปัจจุบันนี้ การเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกระทำได้ง่ายขึ้นมาก และยังมีค่าเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่มีราคาต่ำลงมากว่าแต่ก่อนอีกด้วย
ปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยกระทำได้ง่าย
เนื่องจากผู้สอน หรือผู้สร้างสรรค์งาน e-Learning จะสามารถเข้าถึง server ได้จากที่ใดก็ได้ การแก้ไขข้อมูล และการปรับปรุงข้อมูล จึงทำได้ทันเวลาด้วยความรวดเร็ว
ประหยัดเวลา และค่าเดินทาง
ผู้เรียนสามารถเรียนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ โดยจำเป็นต้องไปโรงเรียน หรือที่ทำงาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องประจำก็ได้ ซึ่งเป็นการประหยัดเวลามาก การเรียน การสอน หรือการฝึกอบรมด้วยระบบ e-Learning นี้ จะสามารถประหยัดเวลาถึง 50% ของเวลาที่ใช้ครูสอน หรืออบรม
จากประโยชน์ของ e-Learning ดังกล่าวนี้ ทำให้ภาคเอกชนเป็นจำนวนมากหันมานิยมใช้ระบบ e-learning ในการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น
การเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิ่ง (e-Learning)
ในความหมายของกรมการศึกษานอกโรงเรียน คือ การเรียนวิธีการทำธุรกิจชุมชน โดยใช้การถ่ายทอดเนื้อหาผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรืออินทราเน็ตก็ได้ ซึ่งเนื้อหาสารสนเทศ อาจอยู่ในรูปแบบการเรียนที่เราคุ้นเคยกันมาพอสมควร เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือการสอนบนเว็บ โดยใช้ภาพเคลื่อนไหว และเสียงประกอบ เพื่อสื่อสาร และแสดงเนื้อหาต่างๆ ของวิชาในหลักสูตร ให้ผู้เรียนได้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เมื่อกล่าวถึงอีเลิร์นนิ่งจะหมายถึง การเรียนเนื้อหา หรือสารสนเทศ ซึ่งออกแบบมาสำหรับการสอน หรือการอบรม ซึ่งใช้เทคโนโลยีของเว็บในการถ่ายทอดเนื้อหา และเทคโนโลยีระบบการจัดการคอร์ส (Course Management System) ในการบริหารจัดการงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนจากอีเลิร์นนิ่งนี้ สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ และ/หรือ จากแผ่นซีดี-รอม ก็ได้ นอกจากนี้ เนื้อหาสารสนเทศของระบบอีเลิร์นนิ่ง ยังสามารถนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology) ได้อีกด้วย
ถึงยุคที่การสื่อสารไร้สายและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต แทรกซึมเข้าไปแทบทุกอนูของชีวิตประจำวัน และแล้วก็ถึงเวลาที่ฝันของคนเบื่อโรงเรียนแต่ยังอยากได้ปริญญาจะเป็นจริง เมื่อมหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองไทย เริ่มเปิดให้มีหลักสูตรเรียนหนังสือที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ตกันแล้ว สภาพแวดล้อมทางการศึกษา ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ มีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันเป็นยุคสังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้คนทั่วโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ (Chat) การใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) การสืบค้นข้อมูลตามเว็บไซต์ต่างๆ สำหรับวงการธุรกิจก็เกิดระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) และธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในวงการศึกษาเกิดระบบมหาวิทยาลัยเสมือน (Virtual University) มหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์ (e-University) ซึ่งจะมีการจัดการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ซึ่งอาจเป็นการสอนแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ได้ การสอนแบบออนไลน์ จะสอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือ อินทราเน็ต ผู้เรียนกับผู้สอนสามารถติดต่อสื่อสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ การสอนแบบออฟไลน์ เป็นการสื่อช่วยสอนประเภทวีดีโอ หรือ ซีดีรอม ที่รู้จักกันในชื่อ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer As Instruction : CAI) หรือ คอมพิวเตอร์ช่วยในการฝึกอบรม (Computer Based Training : CBT) สื่ออิเล็กทรอนิกส์จะเป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนการสอนก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (Life Long Learning) ผู้ที่สนใจสามารถเลือกที่จะศึกษาได้ตามความต้องการของตนเอง เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ใช้เวลาไหนก็ได้สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา หรืออยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนรู้ได้
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (2545) กล่าวถึงองค์ประกอบของเว็บเพจ ดังนี้
1. บทนำเรื่อง (Title) เป็นส่วนแรกของบทเรียน ช่วยกระตุ้น เร้าความสนใจ ให้ผู้เรียนอยากติดต่อ เนื้อหาต่อไป
2. คำชี้แจงบทเรียน (Instruction) ส่วนนี้จะอธิบายเกี่ยวกับการใช้บทเรียน การทำงานของบทเรียน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เรียน
3. วัตถุประสงค์บทเรียน (Objective) แนะนำ อธิบายความคาดหวังของบทเรียน
4. รายการเมนูหลัก (Main Menu) แสดงหัวเรื่องย่อยของบทเรียนที่จะให้ผู้เรียนศึกษา
5. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre Test) ส่วนประเมินความรู้ขั้นต้นของผู้เรียน เพื่อดูว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานในระดับใด
6. เนื้อหาบทเรียน (Information) ส่วนสำคัญที่สุดของบทเรียน โดยนำเสนอเนื้อหาที่จะนำเสนอ
7. แบบทดสอบท้ายบทเรียน (Post Test) ส่วนนี้จะนำเสนอเพื่อตรวจผลวัดสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
8. บทสรุป และการนำไปใช้งาน (Summary - Application) ส่วนนี้จะสรุปประเด็นต่างๆ ที่จำเป็น และยกตัวอย่างการนำไปใช้งาน
องค์ประกอบของ e- Learning การให้บริการการเรียนแบบออนไลน์ หรือ e-learning มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ส่วนคือ
1. เนื้อหาของบทเรียน สำหรับการเรียน การศึกษาแล้วไม่ว่าจะเรียนอย่างไรก็ตามเนื้อหาถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่เนื่องจาก e-learning นั้นถือว่าเป็นการเรียนรู้แบบใหม่สำหรับวงการการศึกษาในประเทศไทย ดังนั้นเนื้อหาของการเรียนแบบนี้ที่พัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงมีอยู่น้อยมากทำให้ไม่เพียงพอกับความต้องการในการฝึกอบรม เพิ่มพูนความรู้ พัฒนาศักยภาพทั้งของบุคคลโดยส่วนตัวและของหน่วยงานต่างๆ ทางโครงการฯจึงได้เร่งติดต่อ ประสาน สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ จัดนำเนื้อหาความรู้ที่มีอยู่ มาพัฒนาเป็นบทเรียนออนไลน์ โดยเจ้าของเนื้อหาวิชา(Content Provider) ที่เป็นแหล่งความรู้ทั้งหลายนั้น จะมีความเด่นในเนื้อหาด้านต่างๆ ครอบคลุมทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ ตลอดจนความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น
2. ระบบบริหารการเรียน เนื่องจากการเรียนแบบออนไลน์หรือ e-learning นั้นเป็นการเรียนที่สนับสนุนให้ผู้เรียนได้ศึกษา เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ระบบบริหารการเรียนที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง กำหนดลำดับของเนื้อหาในบทเรียน นำส่งบทเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังผู้เรียน ประเมินผลความสำเร็จของบทเรียน ควบคุม และสนับสนุนการให้บริการทั้งหมดแก่ผู้เรียน จึงถือว่าเป็นองค์ประกอบของ e- learning ที่สำคัญมาก โดยจัดเตรียมหลักสูตร, บทเรียนทั้งหมดเอาไว้พร้อมที่จะให้ผู้เรียนได้เข้ามาเรียน เมื่อผู้เรียนได้เริ่มต้นบทเรียนแล้วระบบจะเริ่มทำงานโดยส่งบทเรียนตามคำขอ ของผู้เรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์(อินเทอร์เน็ต, อินทราเน็ต หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์อื่นๆ) ไปแสดงที่ Web browser ของผู้เรียน จากนั้นระบบก็จะติดตามและบันทึกความก้าวหน้า รวมทั้งสร้างรายงานกิจกรรมและผลการเรียนของผู้เรียนในทุกหน่วยการเรียนอย่าง ละเอียด จนกระทั่งจบหลักสูตร
3. การติดต่อสื่อสารการเรียนทางไกล โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นการเรียนด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียนปกติ ซึ่งผู้เรียนจะเรียนจากสื่อการเรียนการสอนประเภทสิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และสื่ออื่นๆ การเรียนแบบ E-learning ก็เช่นกันถือว่าเป็นการเรียนทางไกลแบบหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ e-learning มีความโดดเด่นและแตกต่างไปจากการเรียนทางไกลทั่วๆไปก็คือการนำรูปแบบการ ติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง มาใช้ประกอบในการเรียนเพื่อเพิ่มความสนใจความตื่นตัวของผู้เรียนที่มีต่อบท เรียนให้มากยิ่งขึ้น และเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ติดต่อ สอบถาม ปรึกษาหารือ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างตัวผู้เรียนกับครู อาจารย์ผู้สอน และระหว่างผู้เรียนกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนอื่นๆ
4. การสอบ/วัดผลการเรียน โดยทั่วไปแล้วการเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนในระดับใดหรือเรียนวิธีใดก็ย่อม ต้องมีการสอบ/การวัดผลการเรียนเป็นส่วนหนึ่งอยู่เสมอ ดังนั้นการสอบ/วัดผลการเรียนจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้การเรียนแบบ E-learning เป็นการเรียนที่สมบูรณ์ ซึ่งการจัดการเรียนการสอนแบบ e – learning จะมีระบบการบริหารการเรียนที่จะสามารถทดสอบ โดยเรียกข้อทดสอบนั้นๆมาจากระบบบริหารการเรียนที่เรียกว่า ระบบคลังข้อสอบ (Test Bank System) นำมาทดสอบได้เลย ซึ่งจะทำให้การวัดผล ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ในการจัดการสอนบนเว็บนั้น ควรมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ตัดสินใจลักษณะในการสอนบนเว็บ (ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น)
2. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของหลักสูตรที่จัดการสอนบนเว็บ
3. ศึกษาคุณลักษณะของผู้เรียน
4. ออกแบบโครงสร้างของเว็บ โดยการกำหนดโครงสร้างของเว็บคร่าวๆ ก่อนที่จะกำหนดรายละเอียด โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ในข้อ 2
5. หาความรู้และทักษะการใช้โปรแกรมต่าง ๆ ที่จำเป็นดังต่อไปนี้
โปรแกรมช่วยในการจัดการสอนบนเว็บ ตัวอย่างเช่น Web CT (www.wbtsystems.com) หรือ Learning Space ของ บริษัทโลตัส (www.lotus.Com/2442.htm ) เป็นต้น
โปรแกรม ในการสร้างโฮมเพจรายวิชา เช่น Microsoft FrontPage, DreamWeaver, Navigator Gold เป็นต้น
โปรแกรมอ่านข้อมูลบนเว็บ ( Web Browser ) เช่น Internet Explorer, Netscape Navigator, Opera เป็นต้น
โปรแกรมไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ ( E-mail ) เช่นเว็บเมล์ เป็นต้น
โปรแกรมการประชุมทางคอมพิวเตอร์ เช่น Web Board เป็นต้น
เตรียมเนื้อหาในรูปการสอนบนเว็บ ซึ่งครอบคลุมเพจ ต่าง ๆ ดังนี้
1. โฮมเพจ หรือเว็บเพจแรกของเว็บไซต์ ซึ่งควรจะมีข้อความ ทักทายต้อนรับ มีกล่องสำหรับใส่ชื่อผู้เรียนและรหัสลับ (ในกรณีที่ต้องการให้มีการลงทะเบียนก่อนเข้าเรียน) นอกจากนี้อาจเสนอเนื้อหาสั้นๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับคอร์ส ประกอบด้วย ชื่อคอร์ส ชื่อหน่วยงาน หรือผู้รับผิดชอบ รวมทั้งรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสอนคอร์สนี้ และเชื่อม โยงไปยังเว็บเพจที่อยู่ของ ผู้เกี่ยวข้อง
2. เว็บเพจแสดงภาพรวมของคอร์ส ( Course Overview ) แสดงสังเขปรายวิชา และเชื่อมโยงไปยังรายละเอียดของหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ควรมีคำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับหน่วยการเรียน วิธีการเรียน วัตถุประสงค์ และเป้าหมายของวิชา
3. เว็บเพจแสดงสิ่งจำที่เป็นในการเรียน ( Course Requirements ) เช่น เอกสาร ตำรา บทความ วิชาการ และทรัพยากรการศึกษาระบบเครือข่าย(On-line Resources) รวมทั้งเครื่องมือต่าง ๆ ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ โปรแกรมอ่านเว็บที่จำเป็น
อ้างอิงจากhttp://www.radompon.com/webboard/index.php?topic=464.0
LearnSquare คือระบบ e-Learning ที่ได้รับการพัฒนาโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามอัธยาศัย ทุกที่ ทุกเวลา ในรูปแบบสื่อมัลติมีเดียทั้งบทความ ภาพ เสียง หรือวิดีโอ ที่สามารถโต้ตอบได้เสมือนการเรียนในห้องเรียนปกติซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กว้างมากขึ้น และมีมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน
o ระบบการสมัครเรียน
o ระบบการลงทะเบียน
o ระบบการเรียน
o ระบบการจัดการหลักสูตร
o ระบบการจัดตารางสอน
o ระบบการจัดการผู้ใช้งาน
o ระบบสนทนา เว็บบอร์ด
o ระบบจดหมายอิเลกทรอนิกส์
o ระบบปฏิทินนัดหมาย
o ระบบการติดตามการเข้าเรียน
o ระบบจัดการข้อมูลส่วนตัว
o ระบบสร้างข้อสอบและประเมินผลอัตโนมัติ
o ระบบการออกใบรับรองอัตโนมัติ
o ระบบรายงานสถิติต่างๆ
o ระบบสำรองข้อมูล
o ระบบการกระจายเนื้อหา
โครงการจัดสร้างและพัฒนา Homepage ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อจัดเตรียมเนื้อหาวิชาพื้นฐานผ่านระบบเครือข่าย เริ่มสร้างโครงการตั้งแต่ปี 2545 เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามนโยบายการขยายการเรียนการสอนไปตามภูมิภาคต่างๆของประเทศ ทำให้ภาระการจัดการเรียนการสอนวิชาพื้นฐานจำต้องใช้ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและแนวคิดในการสร้างห้องเรียนอิเล็คโทรนิคส์ผ่านระบบเครือข่าย เข้ามาสนับสนุนให้ผู้เรียนผู้สอนได้โดยไม่ต้องจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ภายในห้องเรียนตามปกติเท่านั้น
ข้อคำนึงถึง การนำ E-Learning มาใช้ในการจัดการศึกษา
1.การมีส่วนร่วมในการเรียน ไม่ว่าจะเป็นการถามตอบ หรือการกำหนดกิจกรรมระหว่างบทเรียน
2.การมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบแบบ Live ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องทางการเรียนรู้
3.ผู้เรียนจะต้อง มีวินัยและมีการวางแผนระบบการเรียนให้เหมาะสมกับรูปแบบชีวิตของตนเอง และสิ่งสำคัญต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองอย่างมากจึงจะทำให้การเรียนรู้ในลักษณะ e-learning เกิดดประสิทธิภาพสูงสุด
e-learning เป็นเครื่องมือที่ทันสมัย รวดเร็วและสามารถพัฒนาปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เป็นการเปิดโอกาสให้การศึกษาได้เข้าถึงประชาชนอย่างจริงจัง สมดังคำกล่าวที่ว่า “Anyone Anywhere Anytime” เปรียบเสมือนการทลายกำแพงการเข้าถึงความรู้ของบุคคลทุกชาติ ทุกภาษาและทุกชนชั้น แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาการศึกษาด้วย e-learning ก็ยังมีบางช่วงบางมุมที่เราๆท่านจะต้องคำนึงถึงในการนำมาปรับใช้ ซึ่งในที่นี้ผู้เขียนขอยกคำกล่าวของ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงค์ศักดิ์ทีกล่าวถึง การพัฒนาการศึกษาทั้งระบบเพื่อรองรับการขยายตัวของ e-learning ที่ว่า “การพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของการจัดการศึกษาแบบ E-learning โดยอาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเป็นช่องทางขยายโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงการอุดมศึกษามากขึ้น
ตอนนี้ e-learning ได้เข้ามามีบทบาทในระบบการศึกษาของไทยมากขึ้นแล้วครับ ไม่เฉพาะนักเรียนนักศึกษาที่มีการใช้ e-learning แม้แต่ครูอาจารย์ก็เหมือนกัน อย่างโรงเรียนจังหารฐิตวิริยาประชาสรรค์ที่ผมไปฝึกสอนก็เข้าร่วมโครงการ e-training (การฝึกอบรมครูผ่านระบบออนไล์น) ของมหาวิทยาลัยขอนแ่ก่นร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ(เขตการศึกษาภาคอีสาน) ผมเองเข้าเริ่มการฝึกสอนวันที่ 21 ก็เลยได้เข้าร่วมกับอาจารย์ที่ดูแลระบบของโรงเรียนในการช่วยครูอาจารย์ท่านอื่นๆ ในการสมัครและการเข้าระบบ
เป็นรูปแบบของการจัดการศึกษาที่สำคัญในปัจจุบันอย่างมาก สามารถรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่พัฒนาควบคู่กับเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมาก ตอบสนองการเรียนอย่างหลากหลาย ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล
ขอบคุณครับ คุณ narinchoti ถ้ามีอะไรมาแลกเปลี่ยนความรู้กันก็เสนอแนะได้นะครับ เวปนี้ที่ผมสร้างมาก็เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องเกี่ยวกับวิชาชีพครูครับ
Best Regard
แมน
ปิติภัทร์ โพธิจักร
คลิป วีดีโอส่งเสริมe-learning
http://www.youtube.com/watch?v=id4DvyFXuoY&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=EUL8Iw6DWww
ใช่ครับ เห็นด้วยกับ อาจารย์นรินทร์โชติ บุณยนันท์ศิริ
และขอบคุณเป็นอย่างยิงครับ กับความคิดเห็น
มาเลย์เซียเขาจะเริ่ม 4G เดือนหน้าแล้ว ทำไมเมืองไทย 3G ยังไม่เห็นเลย เพราะว่ามันมีประโยชน์นะ 3G แค่เรามีโทรศัพท์มือถือ(ถ้า 3G ใช้ได้ครอบคลุมทั่วประเทศนะ) มันจะไม่ใช่เฉพาะอีเลิร์นนิิ่่่ง มันจะครอบคลุมไปทุกอย่าง ทั้งการเรียน ธุรกิจ การเงิน การธนาคาร ด้วยความเร็วขั้นต่ำของ 3G ที่ 7.2 Mb ซึ่งก็เร็วกว่าอินเตอร์เน็ตไฮสปีดที่เราใช้กันทุกวันที่ 6 Mb ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทยแค่คุณมีหมายเลขและเครื่องโทรศัพท์มือถือคุณก็สามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างในโลกได้แล้ว(world wide web)
ข่าวการศึกษาท่เกี่ยวกับระบบe-Learning
"ชินวรณ์"เดินพัฒนาคุณภาพการเรียนผ่านe-Learning
ศธ. เดินพัฒนาคุณภาพการเรียนผ่าน e-Learning ชูคอนเซ็ปต์เรียนรู้ได้ทุกที่-ทุกเวลา-ทุกคน เตรียมรับมอบเงินพัฒนากองทุนเทคโนฯจาก กทช. เร็ว ๆ นี้
เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2553 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวในการเป็นประธานแถลงข่าวโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาผ่านระบบสารสนเทศ (e-Learning) ว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ประกาศนโยบายการพัฒนาการศึกษาอย่างมีคุณภาพภายใต้การปฏิรูปการศึกษา ทศวรรษที่ 2 ซึ่งหมายถึงการพัฒนาทั้งคุณภาพผู้เรียน สถานศึกษา ครูและการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน ที่สำคัญเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ (e-Learning) ก็เป็นเรื่องที่ตนมอบเป็นนโยบายนับแต่เข้ารับตำแหน่ง โดยเฉพาะในจุดเน้น 6 เดือน 6 คุณภาพที่ ศธ.ได้ประกาศไปนั้น เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศก็เป็นหนึ่งใน 6 คุณภาพ โครงการการดังกล่าวนี้ จะเป็นก้าวหนึ่งของการพัฒนาทั้งครูผู้สอน นักเรียนได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ภายใต้คอนเซปต์ “เรียนรู้ได้ทุกที่-ทุกเวลา-ทุกคน”
ปัจจุบันการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนบนระบบเครือข่ายในระดับสถาบันอุดมศึกษา กำลังได้รับความนิยมและมีบทบาทในการพัฒนาการศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งสื่อการสอนดังกล่าว ยังช่วยส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ให้นักศึกษาบรรลุจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการเรียนการสอนบนระบบเครือข่าย (e-Learning) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในยุคที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งระบบการศึกษาในปัจจุบันมีเป้าหมายมุ่งให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและสามารถเลือกสรรการเรียนรู้ได้ตามอัธยาศัย ได้ตลอดเวลา ในทุกที่ ทุกโอกาส และด้วยนโยบายของมหาวิทยาลัยมหิดล ในการให้ความสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานของมหาวิทยาลัย ได้มีการพัฒนา e-Learning เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนบนระบบเครือข่าย โดยที่ผ่านมามหาวิทยาลัยได้ดำเนินการฝึกอบรมบุคลากรสายสนับสนุนหรือผู้ดูแลระบบ ให้กับคณะต่าง ๆ เพื่อเตรียมการสร้างระบบฐานข้อมูลรองรับการพัฒนา e-learning ดังนั้น เพื่อให้คณะสาธารณสุขศาสตร์มีความสอดคล้องกับมหาวิทยาลัยในการจัดทำการเรียนการสอนบนระบบเครือข่าย คณะสาธารณสุขศาสตร์ จึงได้จัดทำโครงการ “การอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาบทเรียนบนระบบเครือข่าขของคณะสาธารณสุขศาสตร์ ด้วย Moodle Open Source สำหรับคณาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์” ขึ้น เพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรโดยเฉพาะคณาจารย์สายการเรียนการสอนให้มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการพัฒนา e-Learning และการนำไปใช้งานได้ในอนาคต เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลต่อไป
การพัฒนาโมเดลของ e-learning ในองค์กร
บางคนอาจจะคิดว่า e-learning เป็นสิ่งใหม่และธุรกิจต้องเป็น e-Business แต่โดยความเป็นจริงในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกมีการนำรูปแบบ “การเรียนรู้ทางไกล” มาใช้เพื่อการเรียนการสอนนานแล้ว แม้แต่ในประเทศไทยก็มี เช่นมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หรือโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
ในช่วงปี 1960 สถาบันการศึกษาในโลกเริ่มคิดระบบการเรียนการสอนทางไกลที่เรียกว่า
“การเรียนรู้ทางไกล” (DT) โดยที่จำลองรูปแบบในลักษณะของการเรียนรู้แบบอินเตอร์แอคทีฟ
(Interactive Learning) ซึ่งผลได้ที่สำคัญคือ CBT หรือ Computer Based Training
ในช่วงปี 1995 ถึงปี 2000 กระแสของอินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการพัฒนาความรู้ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม มีการนำเทคโนโลยีทางเวบมาช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นรูปแบบการฝึกอบรมและพัฒนาขององค์กรมากขึ้น โดยผ่านกระบวนการ “การฝึกอบรมทางเวบ” (WBT: Web Based Training) หรือการฝึกอบรมผ่านเครือข่าย (NBT: Network Based Training) ซึ่งผลได้ก็คือ e-learning (*จากผู้เขียนโมเดลจำลองเหล่านี้ที่นำเสนอในแต่ละรูป ผู้เขียนได้ตัดบางส่วนในด้านเทคนิคออก เช่น การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านโมเด็ม หรือการมีเซอร์ฟเวอร์ เพื่อให้กระชับขึ้น)
สุดท้ายนับแต่ปี 2000 รูปแบบของ e-learning จะพัฒนาขึ้นมาสู่รูปแบบที่สมบูรณ์ ซึ่งเรียกว่า Online Learning Center (OLC) โดยจะเป็น “โซลูชั่นใหม่” (New Solution) ที่ผสมระหว่าง การฝึกอบรมที่เรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-paced Training) กับการฝึกอบรมในชั้นเรียน (Classroom Training) โดยเป็นลักษณะของ Object-Based Training ที่อาจจะเป็นรูปแบบใดก็ได้ที่เรียกว่า Object เช่น สไลด์ ออดิโอ-วีดีโอ ตำรา วัสดุอื่นๆ แล้วเก็บอยู่ในฐานข้อมูลส่วนกลาง (Central Database) เมื่อผู้เขียนจะเข้าไปยัง OLC จะมีการประเมินหรือทดสอบก่อนว่ามีความรู้มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างของบริษัท CISCO System จะเรียกว่า “IQ” (Internet Quotient) ความฉลาดทางอินเตอร์เน็ต
หลังจากนั้นจะเข้าไปสู่ฐานข้อมูลของ OLC เพื่อเลือกโปรแกรมหรือหลักสูตรฝึกอบรม เมื่อเรียนรู้ซึ่งจะเป็น “ห้องเรียนเสมือนจริง” (Virtual Classroom) และหลังจบหลักสูตรจะนำผลการทดสอบความรู้ส่งต่อไปยังแฟ้มประวัติของพนักงานที่ บานข้อมูลของ HR (HR Database)
ทั้งหมดนี้จะเป็นมิติใหม่ของการฝึกอบรมและพัฒนาที่จะนำองค์กรสู่ e-learning และเป็น e-learning ที่มุ่งลูกค้า โดยผู้ที่จะได้คุณค่าสูงสุดก็คือ “ทรัพยากรบุคคลในองค์กร” และเป็นสิ่งที่องค์กรจะได้รับในสิ่งที่การบริหาร HR ยุคดอทคอมเรียกว่า ทุนทางปัญญ
e-Learning ที่มุ่งลูกค้า
แนวคิดของการบริหารคนยุคดอทคอมที่ต้องการให้เป็น “ผู้คุมเกมกลยุทธ” (Strategic Player) เมื่อนำเข้ามาสู่รูปแบบของการฝึกอบรมและพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโมเดลของ e-Learning ที่อาจจะเป้นรูปแบบใหม่ที่ผู้บริหาร HR หรือหน่วยงาน HRD ยังไม่มีความคุ้นเคยมากนัก นอกจากจะเพียง “ได้ยิน” หรือทดลองใช้สิ่งที่เวบไซท์ต่างๆ เสนอ “ตัวอย่าง” (Demo) ให้ทดสอบว่าสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่เห็นหรือไม่
หากต้องการให้ e-learning ถูกดำเนินการขึ้นในลักษณะที่ “มุ่งลูกค้า” (Customer-Focysed) หรือ e-learning ที่มุ่งลูกค้า (CFEL: Customer-Focused E-Learning) ดังนั้น โมเดลของ e-learning จึงต้องปรับให้ฝ่าย HR หรือหน่วยงาน HRD เปลี่ยนบทบาทจากงานสนับสนุนกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาด หรืออาจจะเป็น “ศูนย์กำไร” (Profit Center)
สำหรับการใช้โมเดล CFEL หรือ โมเดล e-learning ที่มุ่งลูกค้าเพื่อวิเคราะห์หาความจำเป็นในการฝึกอบรมและพัฒนา และนำไปสู่การจัดทำแผนฝึกอบรมประจำปีที่มีประสิทธิภาพนั้น สามารถพิจารณาได้จากโมเดลต่อไปนี้
eLearning เป็นหนทางหนึ่งของการพัฒนากำลังคน ด้านการสร้างการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนอะไรก็ได้ เรียนเวลาใดก็ได้ตามความเหมาะสม นิสิตนักศึกษาจะพอใจกับการเรียนรู้ที่มีความอิสระและคล่องตัว ระบบ eLearning จะทำให้ลดเวลาการเรียนรู้ได้มากกว่า 50 เปอร์เซนต์ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าระบบการสอนและฝึกอบรมแบบเดิมถึง 30-60 เปอร์เซนต์
อย่างไรก็ดี การใช้ eLearning ยังอยู่ในยุคเริ่มต้น แต่จากการคาดคะเนพบว่า การประยุกต์ใช้ eLearning ในองค์กรบริษัทต่าง ๆ ที่จะทำในเรื่องของการฝึกอบรมพนักงาน มีความต้องการสูงขึ้นมาก โดยมีสภาพการขยายตัวมากกว่าสองเท่าทุก ๆ ปี โดยเฉพาะการเรียนการสอนผ่านทางอินเทอร์เน็ตจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญสำหรับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
การใช้ eLearning เป็นเรื่องที่ต้องมีการบริหารจัดการ การกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการโดยใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือช่วยบริการให้ถึงเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็ว จุดเด่นของการเรียนรู้แบบนี้คือ การเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานที่ สำหรับการสร้างเนื้อหาก็มีลักษณะที่ทำให้สิ่งที่สร้างขึ้นนั้นนำกลับมาใช้ได้ตลอดเวลา เรียกซ้ำได้ไม่รู้จบ การดำเนินการต่าง ๆ จึงใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าช่วย เช่น การประเมินผล การสอบ ทดสอบความรู้ต่าง ๆ
การเรียนการสอนก็เป็นการบริการอย่างหนึ่ง วิธีการบริการในปัจจุบันได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่าย การสนองตอบการเรียนรู้จึงต้องเอื้ออำนวยให้ผู้เรียนได้ใช้ประโยชน์หรือแสวงหาปัจจัยแห่งการเรียนรู้ได้ครบถ้วน การเรียกผ่านเครือข่ายเข้าสู่ทรัพยากรต่าง ๆ ต้องกระทำได้จากหน้าจอภาพของผู้ใช้ ตั้งแต่การเข้าสู่ชั้นเรียน การหยิบหนังสือ การนำเอาเอกสารคำสอน รูปภาพที่นำเสนอไปทบทวนได้เอง สามารถทำแบบทดสอบ ประเมินผล ตลอดจนการแสวงหาเอกสารเพิ่มเติม ก็กระทำได้จากหน้าจอของผู้เรียนเช่นกัน
eLearning จะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญต่อการเรียนรู้ การสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถยังเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ของการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน
eLearning เป็นงานที่มีผลผลิตและสามารถสร้างประโยชน์ทางการค้าได้ ดังนั้นจึงมีบริษัทและมหาวิทยาลัยในต่างประเทศหลายแห่งเริ่มให้ความสนใจที่จะเปิดตลาดทางด้าน eLearning และสร้างผลผลิตในเรื่องเนื้อหาเพื่อนำออกมาใช้และจำหน่ายต่อไป
ลักษณะของการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาสำหรับการเรียนการสอนผ่าน eLearning ประกอบด้วย
eBook การสร้างหนังสือหรือเอกสารในรูปแบบสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ประโยชน์กับระบบการเรียนการสอนบนเครือข่าย
Virtual Lab การสร้างห้องปฏิบัติการจำลองที่ผู้เรียนสามารถเข้ามาทำการทดลอง การทดลองอาจใช้วิธีการทาง simulation หรืออาจให้นักเรียนทดลองจริงตามคำแนะนำที่ให้
Video และการกระจายแบบ Real/audio/video เป็นการสร้างเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอ หรือบันทึกเป็นเสียงเพื่อเรียกผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์
Virtual Classroom เป็นการสร้างห้องเรียนจำลองโดยใช้กระดานข่าวบนอินเทอร์เน็ต กระดานคุย หรือแม้แต่จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประโยชน์การเรียนรู้ผ่านเครือข่าย
Web base training การสร้างโฮมเพจหรือเว็บเพ็จเพื่อประโยชน์การเรียนการสอน
eLibrary การสร้างห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้บริการบนเครือข่ายได้
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( CAI : Computer Assisted Instruction)หมายถึง วิถีทางของการสอนรายบุคคลโดยอาศัยความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะจัดหาประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กันมีการแสดงเนื้อหาตามลำดับที่ต่างกันด้วยบทเรียนโปรแกรมที่เตรียมไว้อย่างเหมาะสม
ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1. บทเรียน (Tutorial) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาในลักษณะของบทเรียนโปรแกรมที่เสนอเนื้อหาความรู้เป็นส่วนย่อย ๆเลียนแบบการสอนของครู
2. ฝึกทักษะและปฏิบัติ (Drill and Practice)ส่วนใหญ่ใช้เสริมการสอน ลักษณะที่นิยมกันมากคือ การจับคู่ ถูก-ผิดเลือกข้อถูกจากตัวเลือก
3. จำลองแบบ (Simulation)นิยมใช้กับบทเรียนที่ไม่สามารถทำให้เห็นจริงได้
4. เกมทางการศึกษา (Educational Game)
5. การสาธิต (Demonstration) นิยมใช้ในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
6. การทดสอบ (Testing) เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
7. การไต่ถาม (Inquiry) ใช้เพื่อการค้นหาข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด
8. การแก้ปัญหา (Problem Solving) เน้นการให้ฝึกการคิดการตัดสินใจ
9. แบบรวมวิธีต่าง ๆ เข้าด้วย (Combination) ประยุกต์เอาวิธีสอนหลายแบบมารวมกันตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1.ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามเอกัตภาพ ,ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้, มีภาพ ภาพเคลื่อนไหว สี เสียง ทำให้ผู้เรียนไม่เบื่อหน่ายการเรียน
2.ผู้เรียนมีโอกาสเรียนซ้ำได้หลายครั้งเท่าที่ต้องการ, ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามขั้นตอนจากง่ายไปยาก
หรือเลือกบทเรียนได้
3.ผู้เรียนมีโอกาสโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์และสามารถควบคุมการเรียนได้เอง ,ฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล
ลักษณะของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการเรียนการสอนแบบรายบุคคลที่นำเอาหลักการของบทเรียนโปรแกรมและเครื่องช่วยสอนมาผสมผสานกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะตอบสนองในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเป็นรายบุคคล
CAI ย่อมาจาก computer-assisted instruction หรือ computer-aided instruction คำนี้เป็นศัพท์ในสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ และสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งราชบัณฑิตยสถาน บัญญัติศัพท์ว่า “ซีเอไอ” หรือ “การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย” แต่คนทั่วไปนิยมเรียกว่า “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” ซึ่งมักอ้างอิงถึงซอฟแวร์ทางการศึกษาชนิดหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเรียนการสอน CAI มีลักษณะเด่นสามประการคือ ประหยัด ได้ผล และฉลาด
มีคำหลายคำที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด (concept) ของ CAI เช่น Computer-Aided Instruction (CAI), Computer-Based Instruction (CBI), Computer-Aided Learning (CAL), Computer-Based Training (CBT), Computer-Based Education (CBE), Integrated Learning Systems (ILS) และคำอื่นๆ เช่น Intelligent Computer-Assisted Instruction (ICAI), Interactive Knowledge Retrieval systems (ITR) เป็นต้น
CAI เป็นกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ในการนำ
เสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรงและเป็นการ
เรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์(Interactive) กับผู้เรียนคือสามารถ
โต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้ จำแนกได้ 3 ชนิด
คือ
1. CAI (Computer Assisted Instruction)
2. CAL (Computer Assisted Learning)
3. CBT ( Computer Base Training)
(ต่อ)
ความสามารถของบทเรียน CAI
-ช่วยจัดในการจัดการเรียนการสอนตามจุดประสงค์ที่วางไว้
-มีความสามารถในการทบทวนบทเรียน
-การวัดผลประเมินผล
-เป็นชุดการเรียนที่สามารถเรียนได้ด้วยตนเอง
เ-นื้อหาโปรแกรมแบ่งเป็นหน่วย ๆ ได้
-ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเองได้
องค์ประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
-เสนอบทเรียนแบบสิ่งเร้าให้กับผู้เรียน ได้แก่ เนื้อหา ภาพ
-นิ่ง คำถาม ภาพเคลื่อนไหว
-เปรียบเป็นสารานุกรมให้ผู้เรียนได้ค้นคว้า
-ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการเสริมแรง ได้แก่ การให้รางวัล -การชมเชยหรือ คะแนน
-ให้ผู้เรียนเลือกเรียนบทเรียนตามต้องการในลำดับหัวข้อ
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ C.A.I.
Computer Assisted Instruction
Computer Aided Instruction
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน กับ มัลติมีเดีย
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ตัวหนังสือ (Text)
ภาพ (Images)
เสียง (Sound)
ภาพเคลื่อนไหว (Animation)
วีดิทัศน์ (Video)
การโต้ตอบกับสื่อ (Interactive)
เครื่องมือที่ใช้สร้างสื่อ (Authoring Tool)
คุณลักษณะสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีดังนี้
* ควรมีเนื้อหาสาระสำคัญและคอบคุม Information
* ควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล Individualized
* ควรมีการโต้ตอบกับผู้ใช้กับบทเรียนได้ Interactive
* ควรมีผลตอบกลับโดยทันที Immediate Feedback
ท่ามกลางพลวัตรของสังคมในปัจจุบันบวกกับกระแสแนวโน้มที่จะมาถึงนี้ การศึกษาไทยจะดำเนินยุทธศาสตร์เดิมๆ อีกไม่ได้ นั่นหมายความว่า สังคมไทยกำลังต้องการนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาแบบมุ่งอนาคต แนวโน้มการจัดการศึกษาในอนาคตที่หลายประเทศให้ความสำคัญ มักจะเน้นไปที่รูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อตอบสนองต่อกระแสโลกาภิวัตน์ และเศรษฐกิจการแข่ง ขัน รวมไปถึงแนวโน้มการเป็นเศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based economy) แต่สำหรับประเทศไทยยัง “คลุมเครือ” เพราะอยู่ระหว่างเลือกว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง!!
เริ่มจากปัญหาการสอนที่มีช่องว่างระหว่างทักษะกระบวนการคิด และทักษะวุฒิทางอารมณ์ยังไม่มีคุณภาพ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่มุ่งแข่งขันทำให้การจัดการศึกษามุ่งพัฒนาทางวิชาการเป็นสำคัญ ในขณะที่ระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถพัฒนาทักษะกระบวนการคิดของผู้เรียน
รวมไปถึง การใช้เทคโนโลยีในกิจวัตรประจำวันหรือใช้ในการเรียนการสอนทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ลดลง ส่งผลให้ช่องว่างทางอารมณ์ จึงก่อให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวที่นับวันจะรุนแรงขึ้นจนส่งผลให้การพัฒนาเชิงสังคมของเด็กไทยดิ่งลงเหว
การสอนด้านคุณธรรม จริยธรรมยังไม่มีคุณภาพ แนวคิดของทุนนิยมที่มุ่งแข่งขันได้แพร่ กระจายไปทั่วโลก ส่งผลผู้ประกอบกับสถาบันการศึกษาจำนวนมากมุ่งพัฒนาความรู้ทางวิชาการ และประเมินผลการเรียนที่ความสามารถทางวิชาการจนอาจละเลยการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม ส่งผลต่อคุณภาพ นักศึกษาจำนวนมากที่ใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยาในสถาบันการศึกษา มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน สู้รบฆ่าฟันต่างสถาบัน เป็นต้น
แนวโน้มเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ในภาพรวมของประเทศไทยยังต้องการนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาแบบมุ่งอนาคต ที่จะเท่าทันต่อแนวโน้มต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่แนวโน้มวิกฤตการณ์ด้านเด็กและเยาวชนที่นับวันดูจะรุนแรงมากขึ้นๆ จนกลายเป็นกระแสเรียกร้องนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาที่จะไล่ทันต่อแนวโน้มที่ว่า “นโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาแบบมุ่งอนาคต”
นโยบายและยุทธศาสตร์ทางการศึกษาแบบมุ่งอนาคตที่ว่านี้ ควรมีการ “รวมพลัง” มีการออกแบบร่วมกันและจัดการร่วมกันที่ดี มิใช่เพียงมุ่งเป้าหมายเพื่อการเรียนรู้ของเด็ก เยาวชนและพลเมืองเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการมุ่งสร้างคนรุ่นใหม่ที่เป็นคน “อุดมความรู้ คู่ความดีงาม” และมีทักษะที่หลาก หลายมีความสามารถในการจัดการที่ดี เพื่อเป็นเงื่อนไข สำคัญของการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ในอนาคตข้างหน้า
เพื่อพัฒนาคนโดยใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงความร่วมมือของสถาบันครอบ ครัว ชุมชน สถาบันทางศาสนา และสถาบันการศึกษา ตลอดจนเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาโดยยึดคุณธรรมนำความ รู้สร้างความตระหนัก สำนึกในคุณค่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงความสมาน ฉันท์ สันติวิธี วิถีประชาธิปไตย
พัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีความรู้ และอยู่ดีมีสุข กลุ่มเป้าหมายแรก ได้แก่ นักเรียน นิสิต นักศึกษาในสถาน ศึกษา 15 ล้านคน เพื่อขยายผลสู่สังคม วงกว้าง โดยใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของ กระบวนการเรียนรู้ ที่เชื่อมโยงความร่วมมือของสถาบันครอบครัว ชุมชน สถาบันทางการศาสนา และสถาบันการศึกษา ที่กล่าวมาทั้งหมดอาจเป็นการ แก้ปัญหาการศึกษาและสังคมในระยะยาวและยั่งยืน
วันนี้ได้มีโอกาศได้คุยกับพี่ๆ จาก กทช.หรือที่เรียนกันว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และมีโอกาศได้ดูคลิปๆ หนึ่งครับ
เกี่ยวกับระบบ 3G ช่วยในการศึกษา
สรุปเรื่องราวได้ใจความได้ว่า
เด็กๆที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเรียนผ่านทางTVได้และผู้สอนก็สามารถทำการสอนได้ทุกที่ โดยครูผู้สอนทำการสอนผ่านที่มือถือ เห็นได้ว่าการเรียนผ่านทางระบบ 3G นี้มันได้ประโยชน์ทั้งผู้เรียนและผู้สอนจริงๆนะครับ
e – learning กับมโนคติของครู
การที่ e – learning ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในระบบการสอนที่จะต้องประกอบด้วยการเรียนรู้จากตำรา การเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง และความรู้ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งนี้เพื่อให้ทันและสอดรับกับเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว e – learning จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในสถานศึกษาในทุกระดับ ซึ่งควรจะต้องจัดหลักสูตรและการสอนโดยใช้ e – learning เป็นเครื่องมือของครูเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และสร้างความรู้ได้อย่างแท้จริง ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมการเรียนด้วยตนเอง ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นไปตามพัฒนาการของตนเอง ช่วยในการปรับเปลี่ยนบทบาทของผู้สอนจากการเป็นผู้บอกและถ่ายทอด มาเป็นผู้ให้คำแนะนำและสำรวจข้อมูลในลักษณะการเรียนรู้ร่วมกัน ดังนั้นการที่จะทำให้การเรียนการสอนในรูปแบบของ e – learning ครูจึงต้องมีมโนคติเกี่ยวกับ e – learning ดังนี้
1. ไม่มีความแตกต่างระหว่าง e – learning และ learning ครูจึงไม่ควรที่จะกลัว หรือเบื่อ หรือรังเกียจที่จะเข้าไปเรียนรู้ ควรคิดว่าแท้ที่จริงแล้ว e – learning เป็นเครื่องมือชองการเรียนรู้ที่เพิ่มพูนประสบการณ์ให้กว้างขวางและลึกซึ้งขึ้น
2. e – learning จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับครูในการพัฒนารูปแบบกระบวนการสอนให้สามารถทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างดีซึ่งจะทำให้ครูรู้สึกสนุกกับการใช้ e – learningในที่สุด
3. ครูไม่จำเป็นต้องใช้ e – learningในทุกวิชา และตลอดเวลา
4. ครูต้องตระหนักว่าคุณภาพจะเกิดขึ้นได้ ครูต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อพัฒนาผู้เรียน e – learning เป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยครูได้
5. e – learning ไม่ใช่สิ่งที่ยุ่งยาก เพียงแต่ต้องการการฝึกฝนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
6. ครูต้องผลักดันให้ผู้เรียนได้เข้าถึงการเรียนรู้แบบ e – learning ไปพร้อมๆกันด้วยการใช้คอมพิวเตอร์อย่างน้อยสัปดาห์ละ60 นาที ในสถาบันการศึกษาและ 5 ชั่วโมงที่บ้านโดยเข้าไปใน Syberspace ก็เพียงพอสำหรับการก้าวทันโลกของครูและผู้เรียนแล้วมโนคติของครูเพียง 6 ข้อนี้ หากผู้เรียนและครูได้ใช้เวลาและประสบการณ์ร่วมกันแล้วจะรู้ว่า e – learning เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานสำหรับการเรียนรู้สู่อนาคตอย่างแท้จริง
e – learning กับมโนคติของผู้เรียน
e – learning ได้ กลายเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ได้รับความนิยมสูงมากและไม่ใช่เป็นเรื่องของการ เสียเวลาและความไร้สาระอีกต่อไป ผู้เรียนมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และปรับมโนคติของผู้เรียนที่มีต่อ e – learning ด้วยว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 แล้ว
สาเหตุที่ครูไม่สนใจ e – learning
หากมโนคติของครูที่มีต่อ e – learning เป็นไปในทางลบแล้ว จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนในภาวะปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก ผลกระทบเหล่านี้ นอกจากจะทำให้ผู้เรียนไม่สามารถเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อโอกาสที่ผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้ และฉายความสามารถที่ผู้เรียนจะได้แสดงออกอีกด้วย ซึ่งมีผู้ศึกษาพบว่า สาเหตุที่ครูไม่สนใจ e – learning ก็คือ
1. e – learning เป็นรูปแบบของการศึกษาในอนาคต ดังนั้นจึงไม่
มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องสนใจหรือเรียนรู้
2. e – learning เป็นเรื่องของธุรกิจมากกว่าการศึกษา
3. e – learning เป็นเรื่องน่าปวดหัวและสร้างปัญหา ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้เทคโนโลยีต่างๆในกระบวนการเรียนการสอน เพราะยังมีความรู้อีกมากมายที่ครูไม่จำเป็นต้องเสาะแสวงหาจากการ online
4. e – learning เป็นการสอนที่สร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา
ดังนั้น ครูจึงไม่จำเป็นต้องเป็นคอมพิวเตอร์ หรือ อินเตอร์เน็ต
ก็สามารถสอนได้ดีอยู่แล้ว
5. e – learning ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และเสียเวลามาก
6. กลัวว่าบทบาทของตนจะลดลงหรือหมดไป ผู้เรียนจะให้ความสำคัญกับคอมพิวเตอร์ มากกว่าตนเอง
ครูจะเริ่ม e – learning อย่างไร จึงจะประสบความสำเร็จและผู้เรียนได้ประโยชน์
ทีนี้เรามาลองดูว่า ครูที่ใส่ใจที่จะเข้าถึง e – learning นั้น จะต้องทำอย่างไร เพราะการเรียนการสอน แบบ e – learning เป็นวิธีการที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีต่างๆมาก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีความรู้ในด้านนี้อยู่บ้าง Allssando Musumeci ซึ่งเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิจัย และเป็นหัวหน้าหน่วยข้อมูลข่าวสารของกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศอิตาลี ได้ให้ทัศนะว่า การที่ครูจะใช้ e – learning ในการจัดการเรียนการสอนให้ได้ประสิทธิภาพนั้น ครูจะต้องปฏิรูประบบการเรียนรู้ของครูเสียก่อน ทั้งนี้ เพื่อครูจะได้เข้าใจและเข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้สามารถถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1. ครูต้องฝึกทักษะการใช้ e – learning
2. ติดต่อและนัดหมายโดยผ่านทาง WEB
3. จัดโปรแกรมการสอนโดยใช้ Software ประเภทต่างๆ และรู้จักนำข้อมูลการสอนของครูอื่นที่เชื่อถือได้โดยดึงจากอินเตอร์เน็ตมาใช้ร่วม หรือประกอบการสอน หรือนำมาประยุกต์ใช้
4. ติดต่อกับผู้เรียนโดยผ่านทาง e – learning หรือ SMS
5. ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับครู และโรงเรียนต่างๆโดยใช้คอมพิวเตอร์
6. เข้าใจความสำคัญและบทบาทของ e – learning
7. ยืมหนังสือจากห้องสมุดต่างๆโดยผ่านการ online
8. โต้ตอบหรือแสดงความคิดเห็นต่างๆผ่าน การ online
ลักษณะของการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาสำหรับการเรียนการสอนผ่าน eLearning ประกอบด้วย
eBook การสร้างหนังสือหรือเอกสารในรูปแบบสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ประโยชน์กับระบบการเรียนการสอนบนเครือข่าย
อย่าลืมการป้องกันด้วยนะครับ การเรียนแบบนี้ผมคิดว่าอาจมีอะไรสอดแทรกมาหาผู้เรียนโดยที่ผู้สอนใม่รู้ก็ได้ เราควรหาวิธีป้องกันด้วย
พระราชวรมุนี (2523:12-14) กล่าวว่า คำว่าจริยะ จริยา ตลอดจนจริยธรรมมีความหมายกว้าง คือหมายกว้าง คือหมายถึงการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่การยังชีวิตให้เป็นไป การคลองชีวิตการใช้ชีวิตการเคลื่อนไหวของชีวิตทุกแง่ทุกด้านทุกระดับ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ การปฏิบัติกรรมฐานเจริญสมาธิ บำเพ็ญสมถะ เจริญวิปัสสนา ก็รวมอยู่ในคำว่าจริยธรรม
จากแนวความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางจริยธรรมสรุปได้ว่า จริยธรรมเป็นคุณสมบัติของความประพฤติที่สังคมมุ่งหวังให้สมาชิกในสังคมประพฤติปฏิบัติ ซึ่งได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่บ้าน โรงเรียน เพื่อนฝูง และสังคม จริยธรรมย่อมแบ่งออกได้เป็นด้านความรู้ด้านเจตคติ ด้านการใช้เหตุผลในการเลือกปฏิบัติ และด้านพฤติกรรมและแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการทางจริยธรรมมี 2 แนวความคิดคือ พัฒนาการทางสติปัญญาถือว่าจริยธรรมมีพื้นฐานจากการให้เหตุผลทางจริยธรรม และโครงสร้างทางสติปัญญา และต้องอาศัยประสบการณ์และ สิ่งเร้าจากสังคม ผู้ที่มีแนวคิดนี้ ได้แก่ Piaget และ Kohlberg ส่วนอีกแนวคิดอีกแนวหนึ่งเป็น แนวคิดการเรียนรู้ทางสังคมเชื่อว่าจริยธรรมเป็นผลมาจากความเจริญของพฤติกรรมและอารมณ์ที่เป็นไปตามกฎของจริยธรรม และการพัฒนาจริยธรรมจะต้องอาศัยพื้นฐานทางจิตวิทยาได้แก่ การจูงใจ และพัฒนาการทางจริยธรรมยังสัมพันธ์กับวัฒนธรรม และจะต้องมีแบบอย่างให้ดู มีการลงโทษเมื่อทำผิด และให้รางวัลเมื่อทำดี ผู้ที่มีความเชื่อนี้ ได้แก่ Bronfenbrenner
มีอีกปัญหาครับเกี่ยวกับeLearning คือผู้สอนและผู้เรียนยังขาดความชำนาญในการใช้เครื่องมือทำให้การเรียนการสอนอาจไม่ดีเท่าที่ควร เราควรวางพื้นฐานการใช้เครื่องมือให้ดีก่อน จริงอยู่ปัจจุบันเด็กใช้คอมเป็นกันมาก แต่ใบบไม่มีประโยชน์มากกว่า เช่น เล่นเกมส์ เราควรปลูกฝังให้ใช้ในทางที่ถูกต้องด้วย
การใช้ eLearning เป็นเรื่องที่ต้องมีการบริหารจัดการ การกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการโดยใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือช่วยบริการให้ถึงเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็ว จุดเด่นของการเรียนรู้แบบนี้คือ การเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานที่ สำหรับการสร้างเนื้อหาก็มีลักษณะที่ทำให้สิ่งที่สร้างขึ้นนั้นนำกลับมาใช้ได้ตลอดเวลา เรียกซ้ำได้ไม่รู้จบ การดำเนินการต่าง ๆ จึงใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าช่วย เช่น การประเมินผล การสอบ ทดสอบความรู้ต่าง ๆ
แต่ปัญหาใหญ่คือ ผู้เรียน ผู้สอนขาดความพร้อมในเรื่อง เครื่องมือและทักษะในการใช้ eLearning เราควรทำตรงนี้ให้พร้อมก่อนที่เราจะใช้ครับ
การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ การส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ เพื่อนำทักษะเหล่านั้นไปใช้ในสภาพจริง เช่น การสร้างห้องเรียน/ห้องทดลองเสมือนจริง การสร้างภาพเคลื่อนไหวเสมือนจริง เพื่อให้ผู้เรียนทดลองทำโดยไม่ต้องลองสนามจริง โดยเป็นการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาแทนในสภาพแวดล้อมที่มีอันตรายและความเสี่ยงสูง และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติจริง
ความหมายของ e-Learning
e-Learning (Electronic learning) คือ การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ความหมายของ E-learning ถูกตีความต่างกันไปตามประสบการณ์ของแต่ละคน แต่มีส่วนที่เหมือนกันคือใช้เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ โดยมีการพัฒนาตลอดเวลา ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สำหรับผู้เขียนให้ความหมายของ E-learning ว่าเป็น "การใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตเข้ามาส่งเสริมการเรียน การสอน ให้เกิดประสิทธิผล"
คำว่า E นั้นย่อมาจาก Electronic ส่วนคำว่า learning มีความหมายตรงตัวว่าการเรียนรู้ เมื่อนำมารวมกันหมายถึงการเรียนรู้โดยใช้ electronic หรือ internet เป็นสื่อ คำที่มีความหมายใกล้เคียงเช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI = Computer Assisted Instruction) หรือ การสอนบนเว็บ (WBI = Web-based Instruction)
องค์ประกอบของ e-Learning
1. ระบบจัดการการศึกษา (Management Education System)
ไม่ว่าระบบใดในโลกก็ต้องมีการจัดการ เพื่อทำหน้าที่ควบคุม และประสานงาน ให้ระบบดำเนินไปอย่างถูกต้อง องค์ประกอบนี้สำคัญที่สุด เพราะทำหน้าที่ในการวางแผน กำหนดหลักสูตร ตารางเวลา แผนด้านบุคลากร แผนงานบริการ แผนด้านงบประมาณ แผนอุปกรณ์เครือข่าย แผนประเมินผลการดำเนินงาน และทำให้แผนทั้งหมด ดำเนินไปอย่างถูกต้อง รวมถึงการประเมิน และตรวจสอบ กระบวนการต่าง ๆ ในระบบ และนำหาแนวทางแก้ไข เพื่อให้ระบบดำเนินต่อไปด้วยดี และไม่หยุดชะงัก
2. เนื้อหารายวิชา เป็นบท และเป็นขั้นตอน (Contents)
หน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอนคือ การเขียนคำอธิบายรายวิชา วางแผนการสอน ให้เหมาะสมกับเวลา ตรงกับความต้องการของสังคม สร้างสื่อการสอนที่เหมาะสม แยกบทเรียนเป็นบท มีการมอบหมายงานเมื่อจบบทเรียน และทำสรุปเนื้อหาไว้ตอนท้ายของแต่ละบท พร้อมแนะนำแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติมให้ไปศึกษาค้นคว้า
3. สามารถสื่อสารระหว่างผู้เรียน และผู้สอน หรือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน (Communication)
ทุกคนในชั้นเรียนสามารถติดต่อสื่อสารกัน เพื่อหาข้อมูล ช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือตอบข้อซักถาม เพื่อให้การศึกษาได้ประสิทธิผลสูงสุด สื่อที่ใช้อาจเป็น E-mail, โทรศัพท์, Chat board, WWW board หรือ ICQ เป็นต้น
ผู้สอนสามารถตรวจงานของผู้เรียน พร้อมแสดงความคิดเห็นต่องานของผู้เรียน อย่างสม่ำเสมอ และเปิดเผยผลการตรวจงาน เพื่อให้ทุกคนทราบว่า งานแต่ละแบบมีจุดบกพร่องอย่างไร เมื่อแต่ละคนทราบจุดบกพร่องของตน จะสามารถกลับไปปรับปรุงตัว หรืออ่านเรื่องใดเพิ่มเติมเป็นพิเศษได้
4. วัดผลการเรียน (Evaluation)
งานที่อาจารย์มอบหมาย หรือแบบฝึกหัดท้ายบท จะทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ และเข้าใจเนื้อหาวิชามากขึ้น จนสามารถนำไปประยุกต์ แก้ปัญหาในอนาคตได้ แต่การจะผ่านวิชาใดไป จะต้องมีเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อวัดผลการเรียน ซึ่งเป็นการรับรองว่าผู้เรียนผ่านเกณฑ์ จากสถาบันใด ถ้าไม่มีการสอบก็บอกไม่ได้ว่าผ่านหรือไม่ เพียงแต่เข้าเรียนอย่างเดียว จะไม่ได้รับความเชื่อถือมากพอ เพราะเรียนอย่างเดียว ผู้สอนอาจสอนดี สอนเก่ง สื่อการสอนยอดเยี่ยม แต่ผู้เรียนนั่งหลับ หรือโดดเรียน ก็ไม่สามารถนำการรับรองว่าเข้าเรียนนั้น ได้มาตรฐาน เพราะผ่านการอบรม มิใช่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจากการสอบ ดังนั้นการวัดผลการเรียน จึงเป็นการสร้างมาตรฐาน ที่จะนำผลการสอบไปใช้งานได้ ดังนั้น E-learning ที่ดีควรมีการสอบ ว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่
eLearning เป็นหนทางหนึ่งของการพัฒนากำลังคน ด้านการสร้างการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนอะไรก็ได้ เรียนเวลาใดก็ได้ตามความเหมาะสม นิสิตนักศึกษาจะพอใจกับการเรียนรู้ที่มีความอิสระและคล่องตัว ระบบ eLearning จะทำให้ลดเวลาการเรียนรู้ได้มากกว่า 50 เปอร์เซนต์ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าระบบการสอนและฝึกอบรมแบบเดิมถึง 30-60 เปอร์เซนต์
อย่างไรก็ดี การใช้ eLearning ยังอยู่ในยุคเริ่มต้น แต่จากการคาดคะเนพบว่า การประยุกต์ใช้ eLearning ในองค์กรบริษัทต่าง ๆ ที่จะทำในเรื่องของการฝึกอบรมพนักงาน มีความต้องการสูงขึ้นมาก โดยมีสภาพการขยายตัวมากกว่าสองเท่าทุก ๆ ปี โดยเฉพาะการเรียนการสอนผ่านทางอินเทอร์เน็ตจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญสำหรับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
ขอเสริมคุณภาษิตนิดนึงครับ eLearning เป็นหนทางหนึ่งของการพัฒนากำลังคนก็จริงอยู่ แต่เราอย่าลืมว่าควรให้ผู้ที่เรียนมีจิตสำนึกที่ดีก่อนครับจึงจะใช้ได้ดีและสมบูรณ์
ตัวอย่างของ e-learning ที่ดีที่สุดนะครับคือที่โรงเรียนไกลกังวลที่ในหลวงของเราท่านได้วางระบบไว้ เริ่มจากการเรียนการสอนผ่านระบบผ่านดาวเทียมก่อน (เนื่องจากช่วงที่พระองค์ท่านสร้างโรงเรียนตอนนั้นเมืองไทยยังไม่มีอินเตอร์เน็ต) นักเรียนรุ่นต้นๆ ของโรงเรียนจบโทจบเอกมาไม่รู้กี่คนแล้วทั้งที่ไม่เคยเจอหน้าครูได้พบแค่เวลาเข้าเรียนผ่านหน้าจอทีวีหน้าห้อง ส่วนมากก็เป็นเด็กที่ขาดโอกาสเนื่องจากความยากจนของครอบครัว แล้วพวกเขาเหล่านี้ส่วนหนึ่งเมื่อจบการศึกษาสูงๆแล้วก็ไม่ยอมเข้าทำงานในบริษัทที่เงินเดือนสูงๆ แต่กลับมาที่บ้านเกิดแล้วมารับเงินเดือนครูทีีน้อยกว่าในสถานศึกษาเดิมของตัวเอง เคยรับชมสารคดีเรื่องโรงเรียนไกลกังวลสองครั้งครับดูกี่ครั้งก็ขนลุกทุกครั้ง อยากให้คนรุ่นหลังๆ จากรุ่นของพวกเรารักบ้านเกิดอย่างนี้มากเลยครับ
ขอเสริมคุณแมนครับ ผมอยู่ที่หัวหินที่ตั้งของวังไกลกังวล,สถานีทีวีวังไกลกังวล,แล้วผมก็เรียน ม.ราชมงคลวังไกลกังวลส่วนหนึ่งก็เรียนในวังด้วย( อยู่หัวหิน 12 ปี ครับ ) ที่คุณแมนบอกว่านักเรียนรุ่นต้นๆของโรงเรียนวังไกลกังวลไม่ยอมไปทำงานเอกชนไม่จริงครับมันเฉพาะพวกที่ได้รับทุนนะครับที่อยู่ทำงานแล้วก็อยู่แค่เงื่อนไขของคนที่ได้ทุน คือ จบแล้วต้องทำงานให้ 3-5 ปีก่อนแล้วค่อยลาออกไปทำเอกชนได้ ปัจจุบันมีแต่ครูที่เป็นคนอีสาน-เหนือ ที่สอบบรรจุได้เท่านั้นที่ทำงานอยู่ พวกเด็กทุนไปทำงานโรงแรมใหญ่ๆกันหมดครับ ได้เดือนเป็นแสนครับ จริงครับสถานีทีวีวังไกลกังวลประสบความสำเร็จมากในหัวหิน แต่ที่อื่นผมขอเถียงครับ ผมเคยยกตัวอย่างที่ อ.ชะอำ ติดกับหัวหินแท้ๆ ใช้ไม่ได้ คือไฟฟ้าไม่มี , เน็ตไม่มี แล้วจะเรียนยังไง นี่เป็นตัวอย่างของการหลอกตัวเอง ยังไม่พร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานก็ควรทำให้พร้อมก่อนค่อยนำมาใ ยกตัวอย่างนะครับ กะเหรี่ยงที่หัวหินอ่านออกเขียนได้แต่กะเหรี่ยงที่ชะอำอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ทั้งๆที่อยูห่างกันแค่ 17 กม. คิดดูแล้วกันครับ
ข้อดีและข้อเสียของ E-learning
ข้อดี
•เอื้ออำนวยให้กับการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ รวมทั้งบุคคล •ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องการเรียนและสอนในเวลาเดียวกัน •ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องมาพบกันในห้องเรียน •ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน และผู้สอนที่ไม่พร้อมด้านเวลา ระยะทางในการเรียนได้เป็นอย่างดี •ผู้เรียนที่ไม่มีความมั่นใจ กลัวการตอบคำถาม ตั้งคำถาม ตั้งประเด็นการเรียนรู้ในห้องเรียน มีความกล้ามากกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องแสดงตนต่อหน้าผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้น โดยอาศัยเครื่องมือ เช่น E-Mail, Webboard, Chat, Newsgroup แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
ข้อเสีย
•ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึก ปฏิกิริยาที่แท้จริงของผู้เรียนและผู้สอน •ไม่สามารถสื่อความรู้สึก อารมณ์ในการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง •ผู้เรียน และผู้สอน จะต้องมีความพร้อมในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ทั้งด้านอุปกรณ์ ทักษะการใช้งาน •ผู้เรียนบางคน ไม่สามารถศึกษาด้วยตนเองได้
แสดงความคิดเห็น